finbiz by ttb แนะจัดทำ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร” คู่มือนำธุรกิจสู่ความยั่งยืน
16 Jan 2024

ผู้ประกอบการที่สนใจนำ ESG เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจเพื่อก้าวสู่ความยั่งยืน ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance)  คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร” ถือเป็นเครื่องมือใหม่ที่ผู้ประกอบการต้องเรียนรู้ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก

finbiz by ttb จึงอยากชี้ให้เห็นว่า “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร” มีความสำคัญอย่างไรกับธุรกิจ พร้อมกับขั้นตอน วิธีการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปประเมินก๊าซเรือนกระจกขององค์กร

 

ทำไม “คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร” จึงมีความสำคัญ

คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) คือ การประเมินปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ประเมินได้ในหน่วยของปริมาณเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งนี้ มีมาตรฐานสากลคือ ISO 14064-1 กำกับและรับรองในระดับประเทศ และมีการเก็บข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกตลอด 1 ปี

 

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งในรูปแบบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในชีวิตประจำวัน คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ และคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร โดยเป็นการวัดเชิงตัวเลขที่สามารถขยายผลนำไปสู่การลดและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ต่อไป ซึ่งการคำนวณ ประเมิน และเปิดเผยรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล ความพยายามในการลดก๊าซเรือนกระจก ที่สำคัญนักลงทุนจากต่างประเทศอาจใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการพิจารณาร่วมลงทุนกับธุรกิจได้

 

ขั้นตอนการคำนวณ คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร มี 7 ขั้นตอน ได้แก่

1. การกำหนดขอบเขตการรายงาน

เป็นการทำบัญชีรายงานก๊าซเรือนกระจก เป็นรูปเล่มออกมา โดยต้องระบุว่ารายงานที่จะทำครอบคลุมพื้นที่ส่วนใดขององค์กร เช่น เฉพาะสำนักงานใหญ่ เฉพาะโรงงาน หรือทำทั้งองค์กร ขึ้นอยู่กับผู้ยื่นขอการรับรองว่ามีความพร้อมมากน้อยเพียงใด

 

2. การกำหนดขอบเขตองค์กร มีอยู่ 2 แบบ ต้องเลือกแบบใดแบบหนึ่งในการรายงาน

แบบที่ 1 คือ แบบควบคุม (Control Approach) แบ่งเป็นควบคุมทางการเงินและควบคุมการดำเนินงาน ซึ่งปัจจุบัน 99% ใช้วิธีควบคุมการดำเนินงาน เช่น การใช้ไฟฟ้าขององค์กร เพราะหากควบคุมได้ก็จะบริหารจัดการให้เกิดการลดลงของก๊าซเรือนกระจกได้ และแบบที่ 2 คือ แบบปันส่วนตามกรรมสิทธิ์ (Equity Share) คือไม่ได้ควบคุม แต่ถือหุ้นร่วมทุนอย่างเดียว

 

3. การกำหนดขอบเขตการดำเนินงาน แบ่งเป็น 3 Scope ดังนี้

  • Scope 1 Direct GHG Emissions & Removals เป็นการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรง คือ มีควันออกมาจากปล่อง มีการรั่วออกมาโดยตรง แบ่งการวัดออกเป็น

 

  • การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ที่อยู่กับที่ เช่น การผลิตไฟฟ้า ความร้อนและไอน้ำใช้เองภายในองค์กร การเผาไหม้ของอุปกรณ์ / เครื่องจักรที่องค์กรเป็นเจ้าของ เช่น การเผาไหม้ Generator การเผาไหม้ LPG เพื่อปรุงอาหาร การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงประเภทต่าง ๆ เช่น เชื้อเพลิงชีวมวล โดยเก็บข้อมูลปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ในแต่ละเครื่องจักรและอุปกรณ์ ใช้หน่วยเป็นลิตรหรือกิโลกรัม
  • การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากเผาไหม้ที่มีการเคลื่อนที่ เช่น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากยานพาหนะที่องค์กรเป็นเจ้าของ เช่น รถยนต์ รถบรรทุก รถโฟล์คลิฟท์ รถตัดหญ้า หรือ ยานพาหนะที่มีอำนาจในการควบคุม เช่น รถเช่า องค์กรไหนมีเรือ เครื่องบิน รถไฟ เฮลิคอปเตอร์ ก็ต้องนำมารวมด้วย การเก็บข้อมูลส่วนนี้ค่อนข้างง่าย เพราะปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่ใช้บัตรเติมน้ำมัน (Fleet Card) สามารถดูได้ว่าแต่ละเดือนใช้เชื้อเพลิงไปกี่ลิตร
  • การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกโดยตรงจากกระบวนการผลิต ซึ่งเกิดจากการทำปฏิกิริยาเคมีในกระบวนการผลิต เช่น การเผาในกระบวนการ Calcinations ของการผลิตปูนซีเมนต์
  • การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการรั่วไหลและอื่น ๆ เช่น การรั่วไหลของสารทำความเย็น สามารถดูได้จากการซ่อมบำรุง
  • การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกโดยตรงจากของชีวมวล เช่น การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินจากพื้นที่ป่า เป็นพื้นที่เกษตรกรรม   
  • Scope 2 Energy Indirect GHG Emissions เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม จากการใช้พลังงานที่องค์กรซื้อหรือนำเข้ามา โดยไม่ได้ผลิตเอง มีทั้งหมด 5 รายการ ได้แก่ ไฟฟ้า ไอน้ำ ความร้อน ความเย็น และอากาศอัด สำหรับวิธีการเก็บข้อมูลสามารถดูได้จากใบเสร็จ เช่น บิลไฟฟ้าจะแจ้งกำลังไฟฟ้าที่ใช้เป็นกิโลวัตต์ต่อหน่วย
  • Scope 3 Upstream & Downstream Activities เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่องค์กรควบคุมไม่ได้ ให้รายงานเฉพาะแหล่งที่มีนัยสำคัญ อย่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากวัตถุดิบตั้งต้นที่ซื้อมา เช่น ปริมาณการใช้กระดาษ A4, กระดาษทิชชู, น้ำประปา การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการกำจัดซากผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันทาง TGO มีระเบียบออกมาแล้วว่าจะบังคับให้รายงาน Scope 3 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 เป็นต้นไป

 

4. การคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจก

สมการง่ายๆ คือ CO2e   = Activity Data X Emission Factor  

*ค่า Emission Factor และวิธีคำนวณอย่างละเอียดดูได้จากเว็บไซต์ของ  TGO

 

5. การจัดทำเอกสารเพื่อรายงาน

นำข้อมูลทั้งหมดมาจัดทำรายงานเป็นรูปเล่ม ในรูปแบบ Word, Excel และ PowerPoint ซึ่งทาง TGO มีรูปแบบการจัดทำรายงานให้เรียบร้อยแล้ว 

 

6. การทวนสอบ

ส่งรายงานให้กับผู้ตรวจสอบภายนอก เพื่อตรวจสอบข้อมูลในแง่ของความตรงประเด็น ความสมบูรณ์ ความไม่ขัดแย้งกัน ความถูกต้องและความโปร่งใส หลังจากผ่านการทวนสอบแล้ว ผู้ตรวจสอบจะออกรายงานการตรวจสอบ รายงานการทวนสอบ และถ้อยแถลงส่งมาที่ TGO โดยในส่วนของธุรกิจจะมีหน้าที่กรอกใบสมัครขอขึ้นทะเบียน “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร” เท่านั้น

 

7. การขึ้นทะเบียน

TGO พิจารณาอนุมัติขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยออกเป็น Certificate เพื่อรับรองว่าองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไรในแต่ละ Scope พร้อมนำข้อมูลที่ผ่านการขึ้นทะเบียนไปประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ให้ด้วย ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 1,000 องค์กรที่ขึ้นทะเบียน CFO แล้ว

 

สิ่งที่ท้าทายขณะนี้คือ ผู้ประกอบการต้องเตรียมจัดทำ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร” โดยเริ่มเก็บข้อมูลกิจกรรมเป็นเชิงตัวเลข หากอยู่ในซัพพลายเชนของบริษัทใหญ่ ก็ต้องเตรียมข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไว้สำหรับนำไปประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะหากองค์กรยังไม่มี ธุรกิจอาจได้รับผลกระทบ หรือหากมีแล้ว แต่คู่แข่งมีค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ต่ำกว่า ธุรกิจก็อาจเสียโอกาสทางการแข่งขันได้

 

นอกจากนี้ เมื่อรู้ว่าส่วนใดในองค์กรมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ก็ต้องบริหารจัดการให้ลดลงด้วย เช่น วางแผนซ่อมบำรุง ปรับเทคโนโลยี เปลี่ยนอุปกรณ์ ส่วนที่ลดไม่ได้ก็ชดเชยด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER (โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย) ซึ่งการชดเชยถือเป็น CSR รูปแบบใหม่ และทำให้ภาพรวมของประเทศมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงด้วย

 


ที่มา : จากงานสัมมนา Sustainable Growth - The Way to Business of the Future โดย ทีทีบี

คุณธาดา วรุณโชติกุล ผู้จัดการ สำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกฯ (TGO)

[อ่าน 1,032]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทรู 5G ปล่อย “GO Travel SIM” โปรแรงในงานไทยเที่ยวนอก ครั้งที่ 4 รับเน็ตโรมมิ่งฟรี 26-29 มิ.ย. นี้
กสิกรไทย ส่ง K-CHINNO25A-UI ขายรายใหญ่ มุ่งลงทุน Private Equity กลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคตของจีน
ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ ฉลองครบรอบ 3 ปี จัดเต็มความบันเทิง อาหารรสเลิศ และความสนุกแบบเต็มพิกัด!
“สิงห์ เอสเตท” แต่งตั้ง “ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์” ขึ้นแท่นซีอีโอ ขับเคลื่อนองค์กรโตยั่งยืน
SPARKLE เปิดเกมรุกตลาดยาสีฟัน ดึง “หลิงหลิง คอง” นั่งพรีเซนเตอร์ใหม่ เจาะ Gen Y & Z ตั้งเป้าโต 20% ในปี 2025
ออริจิ้น โฮเทล ปลื้ม ‘โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชาฯ’ โชว์ผลงานสวนกระแส แม้สภาวะตลาดที่นักท่องเที่ยวหดตัว
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved