ไทยเบฟวางโรดแมปองค์กรสู่ความยั่งยืนในภูมิภาค-ระดับโลก ทุ่มงบ 4,000 ล้านบาทใน 5 ปี เดินหน้าลงทุนปรับโรงงานใหม่ พร้อมผนึกกำลังพาร์ทเนอร์-ชุมชน สานต่อโครงการเพื่อความยั่งยืน ย้ำปลายปี 2567 นี้ มีแผนเปิดตัวเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ใช้ขวดรูปแบบขวด rPET ตอกย้ำการเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน ที่ได้รับคัดเลือกสู่องค์กรต้นแบบความยั่งยืนระดับโลก ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลกจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) 6 ปีติดต่อกัน
ต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
กลุ่มไทยเบฟ ได้วางกลยุทธ์ผสมแผนความยั่งยืนไปในแผนธุรกิจ เพื่อนำพาองค์กรสร้างรายได้เติบโต ควบคู่การสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ผ่านการวางกลยุทธ์ ESG “สรรสร้างการเติบโตที่ยังยืน” (Enabling Sustainable Growth) ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ตลอดห่วงโซ่คุณค่า
การขับเคลื่อนธุรกิจในรูปแบบดังกล่าวนี้ จะมีการลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ช่วง 5 ปี (2566-2570) ปรับโรงงานผลิตสินค้าร่วมลดคาร์บอนไดออกไซด์ ตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2583 พร้อมเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็น 50% ลดการใช้น้ำต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ และมุ่งคืนน้ำสู่ธรรมชาติและสังคม (Water Replenishment) 100%
ต้องใจ บอกอีกว่า แผนดังกล่าวนี้ ยังรวมไปถึงเพิ่มสัดส่วนวัสดุรีไซเคิล (rPET) ในขวดพลาสติก PET ในด้านของสังคม และธรรมาภิบาล มีการตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มระดับความผูกพันของพนักงานให้มากกว่าหรือเท่ากับ 90% ภายในปี 2573 การเพิ่มสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ เพื่อสุขภาพเป็น 80% ภายในปี 2573 รวมถึงการกำหนดให้คู่ค้ากลุ่มกลยุทธ์มีการจัดทำและบังคับใช้จรรยาบรรณสําหรับคู่ค้าของตนเอง
นอกจากนี้ ไทยเบฟร่วมมือกับพันธมิตรในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยร่วมกับองค์กรเอกชนอีก 8 องค์กรก่อตั้งเครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย (Thailand Supply Chain Network หรือ TSCN) ขึ้นในปี 2562 โดยได้มีการดำเนินโครงการ และกิจกรรมเพื่อพัฒนาคู่ค้า เช่น การจัดสัมมนาในหัวข้อด้านการจัดการบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการจัดอบรมการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกให้กับคู่ค้าที่เป็นสมาชิก
“เรามีการจัดกิจกรรมความยั่งยืนผ่านการร่วมมือกับหน่วยงานนอก และชุมชนทั่วประเทศ จัดสรรงบ 500 ล้านบาท ในแต่ละปีสนับสนุนโครงการต่างๆ ซึ่งไทยเบฟขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการร่วมกับพันธมิตร 8 องค์กรเอกชนก่อตั้งเครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย (Thailand Supply Chain Network หรือ TSCN) จัดโครงการพัฒนาคู่ค้า เช่น สัมมนาด้านการจัดการบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการจัดอบรมการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกให้กับคู่ค้าที่เป็นสมาชิก”
ส่วนความร่วมมือกับชุมชนได้จัดทำ “โครงการสมุยโมเดล” ตั้งแต่ปี 2562 ร่วมเก็บบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วหลังการบริโภค เพื่อสนับสนุนให้คู่ค้าและประชาชนมีส่วนร่วมลดปัญหาขยะบนเกาะ พร้อมขยายผลโครงการสู่เกาะสีชัง และมีแผนขยายต่อไปยังเกาะอื่น เช่น เกาะล้าน เกาะเสม็ด เป็นต้น
ขณะที่อีกหนึ่งโครงการหลัก คือ “ไทยเบฟ รวมใจต้านภัยหนาว” ได้มีการจัดขึ้นเป็นปีที่ 24 ได้แจกผ้าห่มจำนวน 200,000 ผืนต่อปี ให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และเพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืน ไทยเบฟได้ใช้ rPET เพื่อผลิตผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลกต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 และนำขวดพลาสติก PET กลับมาสู่กระบวนการรีไซเคิล ผลิตเป็นผ้าห่มได้แล้วทั้งสิ้น 30,400,000 ขวด
นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมาได้ริเริ่มโครงการ “จากผู้รับ สู่ผู้ให้” เชิญชวนให้ชุมชนที่ได้รับแจกผ้าห่มนำขวดพลาสติก PET มาเพื่อนำไปผลิตผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก ส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กับประสบภัยในปีถัดไป
และโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2559 โดยมีเป้าหมายในการสร้างความตระหนักรู้ และเปลี่ยนมุมมองของกลุ่มผู้บริโภคที่มีต่อผ้าขาวม้า สร้างแรงบันดาลใจ ส่งเสริมองค์ความรู้ และนวัตกรรมในการผลิตให้แก่ ชุมชน ตลอดจนสร้างรายได้ให้ชุมชน ปัจจุบัน มีชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือเข้าร่วมโครงการ 40 ชุมชน จาก 30 จังหวัด มีผู้ได้รับประโยชน์ 1,561 ราย สร้างรายได้รวมกว่า 235 ล้านบาท
ในด้านการสร้างแพลตฟอร์มสาธารณะ
ไทยเบฟยังเป็นผู้ริเริ่ม และแกนหลักในการขับเคลื่อนการจัดงาน Sustainability Expo (SX) ประจำปีภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” ซึ่งจัดเป็นปีที่ 4 จากการผสานความร่วมมือของเครือข่ายที่เป็นองค์กรด้านความยั่งยืนจากภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่เข้าร่วมกว่า 246 องค์กร ที่ประสบความสำเร็จและสร้างปรากฎการณ์แห่งการปลุกจิตสำนึกด้าน การพัฒนาที่ยั่งยืนมาแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีรายการ Win Win WAR Thailand ซึ่งเป็นรายการที่บ่มเพาะทักษะของผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม (Social Entrepreneurs) โดยใช้กลไกด้านธุรกิจช่วยแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งรายการนี้ได้จัดทำอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 มีจำนวนผู้ให้ความสนใจสมัครร่วมรายการกว่า 6,300 ทีม และใน 2 ปีที่ผ่านมา ยังได้ขยายผลไปสู่กลุ่มเยาวชนผ่านรายการ Win Win WAR OTOP Junior โดยเปิดโอกาส ให้นักเรียนอายุ 9-14 ปี พร้อมคุณครูที่ปรึกษา มาร่วมแข่งขันเพื่อเพิ่มทักษะการเป็นเจ้าของธุรกิจ ด้วยแนวคิดที่เอื้อประโยชน์กับสังคมและสิ่งแวดล้อม
สำหรับในต่างประเทศ
ไทยเบฟก็เดินหน้าสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนในประเทศเมียนมา เวียดนาม และสหราชอาณาจักรด้วยเช่นกัน โดยไทยเบฟได้ดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นใจว่าบริษัทย่อยทุกแห่งในทุกประเทศที่ไทยเบฟเข้าไปทำธุรกิจจะมีความเชี่ยวชาญเพียงพอ มีนโยบายที่สอดคล้อง และมีมาตรฐานในการปฏิบัติงาน
ที่ผ่านมา กลุ่มสินค้าเครื่องดื่มของไทยเบฟ มีการผลิตต่อปี 5,000 ล้านขวด เป็นขวดแก้วมากกว่า 2,000 ล้านขวด ขวดพลาสติก (เพ็ท) PET กว่า 2,000 ล้านขวด สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ทั้งหมด รวมถึงยังมีขวด PET สีเขียว เป็นผลิตภัณฑ์น้ำแร่ ได้จัดจุดเปิดรับขวดให้นำกลับไปรีไซเคิล โดยในช่วงปลายปีนี้ มีแผนที่จะเปิดสินค้าเครื่องดื่มกลุ่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ rPET อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ คือการตอกย้ำการเป็นองค์กรต้นแบบความยั่งยืนระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการได้รับคะแนนสูงสุด 91 คะแนนจาก 100 คะแนนในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลกจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ประจำปี 2023 เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน พร้อมทั้งได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และ กลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets Index) เป็นปีที่ 7 และ 8 ติดต่อกันตามลำดับ และเป็นบริษัทเครื่องดื่มเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกกลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ในปี 2023
โดย DJSI ได้ประเมินผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทที่เลือกมา ผ่านการใช้เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) 30 ข้อ และในปีนี้ไทยเบฟได้รับคะแนนสูงสุดในมิติการกำกับดูแลและเศรษฐกิจ รวมถึงมิติสังคม และได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับสองในมิติสิ่งแวดล้อมเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังได้รับคะแนนเต็ม 100 คะแนนจากเกณฑ์การประเมิน 6 ข้อ และอยู่ในเปอร์เซ็นไทล์ที่ 100 จากเกณฑ์ 13 ข้อ
เป็นอีกภาพสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน....