สงครามการค้าสหรัฐฯ–จีน กระทบอัญมณีและเครื่องประดับไทยอย่างไร?
17 Dec 2018

ศึกทางการค้าที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกระหว่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมหาอำนาจในอันดับ 1 และจีน อยู่ในอันดับที่ 2 ของโลกกำลังสร้างความวิตกกังวลให้กับผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก เพราะหากสถานการณ์ยืดเยื้อและขยายวงกว้างมากขึ้น ก็อาจส่งผลให้การค้าและเศรษฐกิจของโลกที่กำลังฟื้นตัวหยุดชะงักลงได้ และแน่นอนว่าจะกระทบต่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ส่วนจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยอย่างไรนั้น ติดตามได้ในบทความนี้

 

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา – จีน

จุดเริ่มต้นของสงครามการค้ามาจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ต้องการจะลดการขาดดุลการค้ากับประเทศที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าในระดับสูง ซึ่งการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ เกือบครึ่งหนึ่งของยอดขาดดุลการค้าทั้งหมดเป็นการค้าขายกับจีน จึงทำให้จีนเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการลดการขาดดุลการค้า โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวอ้างว่าจีนดำเนินนโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรมและละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ จึงเรียกร้องให้จีนเปลี่ยนแปลงวิธีการทำการค้าใหม่ ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ และซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น หากจีนไม่ทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน

 

 

ทั้งนี้ทางการสหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้า (ไม่มีสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ) เพิ่มขึ้นอย่างเป็นทางการจากจีนในอัตราร้อยละ 25 ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้รวมมูลค่ากว่า 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนจีนก็ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีในแบบเดียวกันกับสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวม 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

 

การค้าอัญมณีและเครื่องประดับระหว่างสหรัฐฯ และจีน

สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับในอันดับ 2 ของจีน (รองจากฮ่องกง) โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าเฉลี่ย 3,970.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสินค้าส่งออกหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 70 เป็นเครื่องประดับทอง รองลงมาเป็นเครื่องประดับเทียม และเครื่องประดับเงิน ตามลำดับ ในขณะที่จีนมีการนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับจากสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเพียง 379.97 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้านำเข้าหลักเป็นโลหะเงิน ในสัดส่วนราวร้อยละ 30 รองลงมาเป็นของอื่นๆ ทำหรือหุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และเครื่องประดับทอง ตามลำดับ ทั้งนี้ ปัจจุบันภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากจีนไปยังสหรัฐฯ มีอัตราต่ำสุดคือ ร้อยละ 0 และอัตราสูงสุดอยู่ที่ร้อยละ17.9 โดยสรุปได้ดังตารางด้านล่างนี้

 

 

นอกจากสหรัฐฯจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าต่างๆจากจีนแล้วสหรัฐฯยังเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากสินค้าประเภทอื่นกับประเทศอื่นด้วยโดยอ้างว่ามีการทุ่มตลาดในสินค้าเหล่านั้นจนทำให้สหรัฐฯขาดดุลการค้า ได้แก่ เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียมจากแคนาดา เม็กซิโกและสหภาพยุโรป จากอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เป็นอัตราร้อยละ 25 สำหรับสินค้าเหล็ก และร้อยละ 10 สำหรับสินค้าอะลูมิเนียม อีกทั้งยังเรียกเก็บภาษีนำเข้าหนังยางรัดของไทยจากเดิมอัตราร้อยละ 0 เป็นร้อยละ 5.86 เป็นต้น แต่ยังไม่มีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับแต่อย่างใด

 

ผลกระทบต่อธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับไทย

สำหรับการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยจะได้รับประโยชน์หรือผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างไรบ้างนั้น ในที่นี้จะขอสรุปสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นเป็น 4 กรณี ดังนี้

1. หากจีนยังคงไม่ทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ดังกล่าวแล้วข้างต้นนั้น ทรัมป์ ก็ได้ประกาศแล้วว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีกเป็นมูลค่าราว 267,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นั่นหมายความว่าสินค้าจากจีนที่นำเข้าไปยังสหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมด ซึ่งรวมถึงอัญมณีและเครื่องประดับด้วย โดยมีแนวโน้มจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดร้อยละ 25 เฉกเช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ ที่ถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นในอัตราดังกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้วเนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับในอันดับ 2 ของจีน และสหรัฐฯ ก็ขาดดุลการค้าสินค้านี้กับจีน โดยในปี 2560 สหรัฐฯ เสียดุลการค้าอัญมณีและเครื่องประดับให้กับจีนเป็นมูลค่า 3,084.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ฉะนั้น หากสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากจีนเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้สินค้านำเข้าจากจีนมีราคาสูงขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าผู้นำเข้าชาวสหรัฐฯ อาจจะหันมานำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากประเทศอื่นๆ รวมถึงไทยแทน เพราะด้วยสินค้าของไทยมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในตลาดสหรัฐฯ อยู่แล้ว ซึ่งก็น่าจะทำให้ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้เพิ่มมากขึ้น สำหรับแนวโน้มที่สหรัฐฯ อาจนำเข้าจากไทยแทนจีนมาขึ้นนั้นสะท้อนให้เห็นจากสถิติการนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับล่าสุดในช่วงเดือนมกราคม- กันยายน 2561 ซึ่งสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 15 ในขณะที่นำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5    

 

2. หากจีนส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปยังสหรัฐฯ ได้ลดลงก็อาจนำเข้าสินค้าจากไทยลดลง โดยเฉพาะสินค้ากึ่งวัตถุดิบอย่างพลอยสีทั้งพลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยในตลาดจีน ทั้งนี้ จีนเป็นประเทศผู้ผลิตเครื่องประดับส่งออกไปยังสหรัฐฯ รายใหญ่ ซึ่งถ้าสหรัฐฯ ลดการนำเข้าเครื่องประดับจากจีนลง ก็อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังสินค้าพลอยสีของไทยที่ส่งไปสนับสนุนห่วงโซ่การผลิตเครื่องประดับของจีนให้ลดลงได้

 

3. หากสหรัฐฯพิจารณาขึ้นภาษีสินค้านำเข้าประเภทอื่นๆ กับประเทศที่ทำให้สหรัฐฯขาดดุลการค้าสหรัฐฯก็อาจเรียกเก็บภาษีสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นหนึ่งในสินค้าที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า โดยในปี 2560 สหรัฐฯขาดดุลการค้าอัญมณีและเครื่องประดับรวมเป็นมูลค่า 6,083.17 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเสียดุลการค้าสินค้านี้ ให้กับไทยคิดเป็นมูลค่า 881.74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถ้าสหรัฐฯ รียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากสินค้าและประเทศที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าไทยก็จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แม้ว่าปัจจุบันไทยจะได้รับการต่อสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ในกลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งมีผลบังคับใช้จนถึงปลายปี 2563 ทำให้การนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไปยังสหรัฐฯ มีอัตราภาษีเป็นร้อยละ 0 เกือบทุกรายการ ยกเว้นพิกัด 7113.11.50 (เครื่องประดับเงินซึ่งมีมูลค่าเกินกว่าโหล/ชิ้นละ 18 เหรียญสหรัฐ)  และพิกัด 7113.19.50 (เครื่องประดับแท้ที่ทำด้วยทองคำหรือแพลทินัม)  ที่ต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราร้อยละ 5.0 และร้อยละ 5.5 ตามลำดับ

 

     

 

อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าสหรัฐฯ พร้อมจะยกเลิกหรือตัดสิทธิ GSP ได้ตลอดเวลาหากเห็นว่าประเทศตนเสียเปรียบจนขาดดุลการค้าตามนโยบายของทรัมป์ เห็นได้จากกรณีการทบทวนการให้สิทธิ GSP เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งสหรัฐฯ ได้ตัดสิทธิ GSP สินค้าไทยจำนวน 11 รายการ และมีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป หากสหรัฐฯ ยังคงใช้เกณฑ์การพิจารณาตัดสิทธิ GSP จากการนำเข้าสินค้าเกินมูลค่า 180 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จึงมีความเป็นไปได้ว่าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยอาจถูกตัดสิทธิ GSP ได้ในอนาคต เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปยังสหรัฐฯ เฉลี่ยปีละราว 1,290 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งก็จะทำให้สินค้าส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐฯ เสียภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น ราคาสินค้านำเข้าก็จะปรับสูงขึ้น น่าจะส่งผลให้ผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ต้องการอัญมณีและเครื่องประดับนำเข้าลดลง ผู้นำเข้าจึงอาจสั่งซื้อสินค้าจากไทยลดลง

    

4. หากสงครามการค้ายืดเยื้อและขยายวงกว้างมากขึ้นท้ายที่สุดแล้วจะบั่นทอนการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก โดยนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าสงครามการค้าจะยังคงดำเนินต่อเนื่องไปอีกหลายปีและนอกเหนือจากการตอบโต้กันด้วยภาษีแล้ว ทางการจีนอาจใช้มาตรการที่มิใช่ภาษีร่วมด้วย อาทิ เพิ่มเงื่อนไขและกีดกันธุรกิจของสหรัฐฯในจีน ลดค่าเงินหยวนหรือการเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จีนถือครองอยู่หลายล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (จีนเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มากที่สุดในโลก) เป็นต้น

 

นอกจากนี้ จีนได้ยื่นเอกสารฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO)แล้วในขณะที่สหรัฐฯ ก็ได้ขู่ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิก WTO ซึ่งความไม่แน่นอนเหล่านี้ทำให้ความเชื่อมั่นทางการค้าและการลงทุนของโลกลดลง และอาจนำไปสู่การฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกได้ในที่สุดและเนื่องจากอัญมณีและเครื่องประดับเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก ฉะนั้น การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยก็ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องได้รับผลกระทบดังกล่าวทำให้ส่งออกไปยังตลาดโลกได้น้อยลง

 

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงอาจสรุปได้ว่า ในระยะสั้นไทยจะได้รับทั้งผลดีและผลเสียจากสงครามการค้า โดยผลดีที่ไทยจะได้รับนั้น อาจทำให้มูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยเพิ่มมากขึ้น เพราะสหรัฐฯ อาจนำเข้าสินค้าจากไทยทดแทนจีน ในขณะเดียวกันไทยก็จะได้รับผลเสียทำให้ไทยอาจส่งออกพลอยสีไปยังจีนได้ลดลง เพราะจีนน่าจะส่งออกเครื่องประดับไปยังตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ได้น้อยลง ก็จะลดการนำเข้าสินค้ากึ่งวัตถุดิบอย่างพลอยสีที่จะนำไปประกอบเป็นเครื่องประดับจากไทยลดลงตามไปด้วย แต่ในระยะยาวไทยจะได้รับผลกระทบในทางลบเพียงอย่างเดียว หากสงครามการค้ายืดเยื้อและทวีความรุนแรงจนทำให้เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศหยุดชะงัก ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัว การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยไปยังตลาดโลกก็อาจเติบโตในอัตราลดลงตามไปด้วย

 

ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น บริหารสต๊อกวัตถุดิบและสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้ใช้สร้างโอกาสทางการค้าได้ถูกจังหวะเวลา รวมถึงกระจายความเสี่ยงด้วยการส่งออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น

 


 

หมายเหตุ

ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
พฤศจิกายน 2561

 

[อ่าน 7,801]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปฏิบัติการ รีแบรนด์ Microsoft Office เมื่อ “AI” เข้ามาเปลี่ยนวิธีคิดการดีไซน์
ทำไม JW Anderson จึงโดดเด่นในการออกแบบกระเป๋าถืออันเป็นเอกลักษณ์
สี จิ้นผิง–เผิง ลี่หยวน เปิดงานเลี้ยงต้อนรับผู้นำ SCO 2025 ที่เทียนจิน โชว์บทบาทเจ้าภาพผลักดันความร่วมมือภูมิภาค
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เดิมพันครั้งสุดท้าย? คว้า ‘อเล็กซานเดอร์ หวัง’ ขุนศึก AI ปั้นฝัน Superintelligence
AI ไม่ได้ฆ่า Google Search? เบื้องหลังปราการป้องกันที่แข็งแกร่งกว่าที่คิด
“มาห์เล” เร่งเครื่องนวัตกรรมยานยนต์ ลดคาร์บอนด้วยเทคโนโลยีหลากหลาย – หนุนสหภาพยุโรปแก้กฎหมาย CO₂
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved