การค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลกในปี 2561 ที่ผ่านมาค่อนข้างสดใสตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งทำให้มีกลุ่มชนชั้นกลางขยายตัวเพิ่มขึ้นและกำลังซื้อของผู้บริโภคสูงขึ้น ประกอบกับราคาวัตถุดิบในภาพรวมปรับตัวในแนวลบไม่ว่าจะเป็นทองคำ เงิน และแพลทินัม ทำให้เครื่องประดับมีราคาไม่สูงมากนัก
อีกทั้งผู้ผลิตจำนวนไม่น้อยต่างก็หันมาพัฒนาสินค้าโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการผลิตและดีไซน์สินค้าหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ResearchAndMarkets.com ประมาณการณ์ว่าตลาดอัญมณีและเครื่องประดับโลกในปี 2561 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงที่เริ่มปรากฏมาตั้งแต่ปี 2561 อาจสั่นคลอนเศรษฐกิจของโลกในปี 2562 และจะกระทบต่อการส่งออกไทยได้ในที่สุด โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ความไม่แน่นอนของ Brexit หรือเสถียรภาพทางการเงินของอิตาลีที่ไม่ค่อยดีนัก วิกฤติเศรษฐกิจและความผันผวนของค่าเงินในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อย่างตุรกี อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดีย จะส่งผลกระทบต่อความผันผวนของตลาดเงินโลกอย่างต่อเนื่อง และพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่กลุ่มชาวมิลเลนเนียล ที่มักให้ความสนใจซื้อสินค้าจำพวกเทคโนโลยี และแกดเจ็ตต่างๆ รวมถึงใช้จ่ายเงินเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตโดยการท่องเที่ยวมากกว่าการซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เหล่านี้นับเป็นปัจจัยท้าทายของผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่จะต้องจับตาและปรับตัวพัฒนาสินค้าให้มีความโดดเด่นและดึงดูดใจผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้มากขึ้น
แนวโน้มตลาดอัญมณีและเครื่องประดับสำคัญของโลก
สหรัฐอเมริกา ตลาดผู้บริโภคอัญมณีและเครื่องประดับขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งในปี 2561 ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับในสหรัฐฯ ขยายตัวค่อนข้างดี เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สำหรับในปี 2562 ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับสหรัฐฯ จะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่อาจเติบโตในอัตราลดลง จากมาตรการกีดกันทางการค้าที่สหรัฐฯ ได้ดำเนินการไปแล้ว และมีแนวโน้มเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นจากประเทศต่างๆ
ส่วนแนวโน้มการซื้ออัญมณีและเครื่องประดับของชาวสหรัฐฯ นั้น นอกจากจะให้ความสำคัญกับรูปแบบเครื่องประดับที่มีเอกลักษณ์และมีเรื่องราวแล้ว ผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าโดยคำนึงถึงสังคม แรงงาน สิ่งแวดล้อม และการทำธุรกิจโดยปราศจากคอร์รัปชันมากขึ้นด้วย การดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส และไม่เอาเปรียบแรงงาน ก็จะทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการของตลาดสหรัฐฯ ได้
อินเดีย เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคอัญมณีและเครื่องประดับขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ซึ่งในแง่ของตลาดผู้บริโภคนั้น ความต้องการสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของอินเดียในช่วงปีที่ผ่านมาถูกขับเคลื่อนจากกลุ่มชนชั้นกลางซึ่งมีจำนวนมากขึ้นและรายได้เพิ่มสูงขึ้นตามการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และจะยังคงเป็นปัจจัยหลักผลักดันตลาดอัญมณีและเครื่องประดับของอินเดียให้เติบโตต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดอัญมณีและเครื่องประดับอินเดียมีมูลค่าราว 75 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 100 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 โดยชาวอินเดียส่วนใหญ่นิยมซื้อเครื่องประดับทอง ทั้งเพื่อการลงทุนเก็งกำไรและแสดงสถานะทางสังคม ส่งผลให้อินเดียเป็นประเทศที่มีการบริโภคทองคำมากเป็นอันดับ 2 ของโลก (รองจากจีน) ซึ่งมีการบริโภคทองคำเฉลี่ยปีละ 849 ตัน และส่วนมากเป็นการนำทองคำมาผลิตเป็นเครื่องประดับทองเพื่อจำหน่ายในประเทศและอีกส่วนหนึ่งส่งออกต่างประเทศ
จีน เป็นผู้บริโภคสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยมีสัดส่วนราวร้อยละ 30 ของการบริโภคเครื่องประดับของโลก ในปี 2561 ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับของจีนเติบโตได้ในแนวบวก เนื่องจากเศรษฐกิจจีนปรับตัวดีขึ้น และรัฐบาลลดภาษีมูลค่าเพิ่มลงจากร้อยละ 17 เหลือร้อยละ 16 ดึงดูดให้ชาวจีนที่มีกำลังซื้อโดยเฉพาะกลุ่มคนชั้นกลางที่มีอยู่กว่า 400 ล้านคน มีความเชื่อมั่นในการซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มตลาดอัญมณีและเครื่องประดับจีนในปี 2562 อาจถูกบั่นทอนการเติบโตจากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ จากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าส่งออกหลักของจีน รวมถึงปัญหาภายในของจีนเองที่มีความเสี่ยงจากธนาคารเงา (Shadow Banking) และหนี้ของภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง เหล่านี้อาจทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตในอัตราชะลอตัวในปี 2562 และจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของชาวจีน
ทั้งนี้ จีนนับเป็นตลาดผู้บริโภคทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีการบริโภคทองคำประมาณปีละเกือบ 1,000 ตัน โดยการบริโภคในตลาดอัญมณีและเครื่องประดับจีนกว่าครึ่งหนึ่งเป็นการบริโภคเครื่องประดับทอง โดยเฉพาะเครื่องประดับทอง 24 กะรัต เพื่อเก็บสะสมเป็นสินทรัพย์และแสดงสถานะทางสังคม อีกทั้งมีแนวโน้มซื้อทองคำแท่งเพื่อการลงทุนเก็งกำไรมากขึ้น และชาวจีนรุ่นใหม่นิยมเครื่องประดับทองลวดลายสมัยใหม่มากกว่ารูปแบบเรียบง่ายหรือแบบดั้งเดิม
นอกจากนี้ เครื่องประดับแพลทินัม และเครื่องประดับตกแต่งอัญมณี ยังมีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยอัญมณีที่ชาวจีนชื่นชอบนำมาประดับตกแต่งเป็นเครื่องประดับ ได้แก่ เพชร (ซึ่งนิยมมากในตลาดคู่แต่งงาน) ทับทิม แซปไฟร์ หยก ไข่มุก อำพัน และโทแพซ รวมถึงการสั่งผลิตสินค้าตามคำสั่งของลูกค้า (Made to Order) โดยให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการดีไซน์และเลือกวัสดุประกอบต่างๆ ด้วยตนเอง จะเป็นรูปแบบที่นิยมมากขึ้นในอนาคต
สหราชอาณาจักร ในรอบปี 2561 ที่ผ่านมาตลาดเครื่องประดับในสหราชอาณาจักรค่อนข้างซบเซา เนื่องจากได้รับปัจจัยลบจากเศรษฐกิจชะลอตัวหลังผลมติออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit ในขณะที่ได้รับปัจจัยบวกจากกลุ่มผู้มีกำลังซื้อที่ยังคงใช้จ่ายซื้อเครื่องประดับอยู่บ้าง ทั้งนี้ Statista ประมาณการว่ายอดขายในตลาดเครื่องประดับของสหราชอาณาจักรในปี 2561 อยู่ที่ราว 3.29 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวได้เพียงประมาณร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับปี 2560 ซึ่งสถานการณ์ความไม่แน่นอนหลัง Brexit จะยังคงเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจและจะกระทบต่อความต้องการซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของชาวสหราชอาณาจักรในระยะ 2-3 ปีข้างหน้านี้
ทั้งนี้ ในปัจจุบันชาวสหราชอาณาจักรนิยมเครื่องประดับทองสีเหลืองและเครื่องประดับเงินชุบทองสีเหลือง 18 กะรัต โดยได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเมแกน มาร์เกิล ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ที่สวมใส่เครื่องประดับทองสีเหลืองออกงานต่างๆ รวมถึงแหวนหมั้นสีทองของเจ้าชายแฮรี่ ดยุกแห่งซัสเซกซ์ และคาดว่าเครื่องประดับทองสีเหลืองจะยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องในปี 2562 ส่วนทางด้านดีไซน์นั้น ชาวสหราชอาณาจักรมีแนวโน้มต้องการเครื่องประดับที่มีดีไซน์แปลกเก๋ ในราคาที่เข้าถึงได้
เยอรมนี ตลาดเครื่องประดับเยอรมนีในปี 2561 ถูกขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นในการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้ชาวเยอรมนีใช้จ่ายเพื่อซื้อเครื่องประดับแท้มากขึ้น ได้แก่ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับแพลทินัม และเครื่องประดับเพชร ในขณะที่เครื่องประดับเงินชะลอตัวลงเล็กน้อย ทั้งนี้ Statista ประมาณการว่ายอดขายเครื่องประดับในตลาดเยอรมนีในปี 2561 อยู่ที่ราว 4.79 พันล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าราวร้อยละ 1.3 สำหรับในปี 2562 การค้าเครื่องประดับในเยอรมนีจะได้รับปัจจัยบวกจากภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างคาดว่ายังอยู่ในสภาพดีและขยายตัวต่อไปได้
ปัจจุบันผู้บริโภคชาวเยอรมันนิยมซื้อเครื่องประดับที่มีความเป็นยูนีค มีคุณภาพสูง ชิ้นงานต้องมีลวดลายละเอียด สวยงาม และประณีต จึงมีแนวโน้มนิยมซื้อสินค้าทำด้วยมือมากขึ้น รวมถึงเครื่องประดับที่ใช้นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีในการสร้างสรรค์ชิ้นงานจนสร้างความแตกต่างและความเป็นเอกลักษณ์ให้กับสินค้า อีกทั้งผู้บริโภคชาวเยอรมันยังมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตร ใส่ใจต่อมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย
ญี่ปุ่น ตลาดเครื่องประดับของญี่ปุ่นในปี 2561 ฟื้นตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุปสงค์ภายในประเทศเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ประกอบกับรัฐบาลญี่ปุ่นยังคงภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ร้อยละ 8 ทั้งนี้ Yano Research Institute ประมาณการตลาดสินค้าเครื่องประดับและสินค้าหรูของญี่ปุ่นในปี 2561 ว่าขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ราวร้อยละ 1.30 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หรือมีมูลค่าอยู่ที่ราว 960 พันล้านเยน (ประมาณ 8.46 พันล้านเหรียญสหรัฐ)
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ประกาศปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 8 เป็นร้อยละ 10 แล้ว และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้สินค้าเครื่องประดับมีราคาแพงขึ้น อันอาจฉุดรั้งความต้องการบริโภคเครื่องประดับในตลาดญี่ปุ่นให้ลดน้อยลงได้
ทั้งนี้ เครื่องประดับที่ทำจากทองคำ เงิน และแพลทินัม รวมถึงเครื่องประดับเพชรเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ทางด้านดีไซน์นั้น ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบเครื่องประดับทำด้วยมือแนวน่ารัก โดยนำตัวการ์ตูนญี่ปุ่นและวัฒนธรรมของเอเชียมาเป็นลวดลายเครื่องประดับ ซึ่งรูปแบบนี้จะยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง หากแต่จะมีความต้องการลวดลายที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มซื้อเครื่องประดับชิ้นเล็ก น้ำหนักเบา และสามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาสมากขึ้นด้วย
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นทั้งผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่เพื่อส่งออกต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง และยังเป็นตลาดผู้บริโภคเครื่องประดับที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกด้วย โดยในปี 2561 ตลาดค้าอัญมณีและเครื่องประดับในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไม่ค่อยสดใสนัก เนื่องจากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจที่เติบโตได้ไม่ดีนัก อีกทั้งรัฐบาลได้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 5 และมีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในอัตราร้อยละ 5 อย่างจริงจังจากเดิมที่เคยผ่อนปรนมาโดยตลอด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะยังคงส่งผลลบต่อความต้องการบริโภคอัญมณีและเครื่องประดับของชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ต่อเนื่องในปี 2562
ด้านการบริโภคอัญมณีและเครื่องประดับนั้น ชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์บริโภคเครื่องประดับทองมากที่สุดในกลุ่มของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ นับเป็นตลาดผู้บริโภคเครื่องประดับทองรายใหญ่ใน 5 อันดับแรกของโลก โดยนิยมซื้อชิ้นงานขนาดใหญ่ด้วยลวดลายสไตล์อาหรับ และมีแนวโน้มต้องการบริโภคเครื่องประดับเพชร และเครื่องประดับแพลทินัมมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ เนื่องจากมีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในดูไบ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จำนวนมาก จึงมีความต้องการบริโภคเครื่องประดับทันสมัย หลากหลายดีไซน์ในตลาดแห่งนี้ด้วย
สำหรับการเข้าถึงตลาดในประเทศดังกล่าวข้างต้นนั้น นอกจากจะต้องผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค และเข้าร่วมงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับนานาชาติ เพื่อพบปะกับผู้นำเข้าจากประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นช่องทางปกติที่ทำกันมานานนั้น
อีกหนึ่งช่องทางที่ควรให้ความสำคัญมากขึ้นคือ ช่องทางออนไลน์ทั้งในลักษณะการเปิดร้านค้าบนหน้าเว็บไซต์/เพจ และการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นช่องทางที่มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการที่ผู้คนเข้าถึงเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้นมาก และเป็นช่องทางที่ประหยัดต้นทุน ทำให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคปลายทางได้โดยตรงและเป็นวงกว้าง ทั้งนี้ ResearchAndMarkets.com ได้คาดการณ์ว่าตลาดเครื่องประดับออนไลน์โลกในช่วงปี 2561-2565 จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยถึงปีละเกือบร้อยละ 16 เลยทีเดียว
ฉะนั้น การค้าออนไลน์จึงเป็นช่องทางที่ผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับไม่ควรพลาดโอกาส เพราะอาจทำให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มเกินกว่าที่คาดคิดไว้ก็เป็นได้
ข้อมูลโดย :
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
สมัครสมาชิกเพื่อติดตามข้อมูลได้ที่ infocenter.git.or.th ไลน์ไอดี git_info_center
หรือติดตามผ่านเฟซบุ๊ก www.facebook.com/GITInfoCenter