สืบเนื่องจากวันที่ 14 กรกฎาคม 2020 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่ง ฝ่ายบริหาร ยุติการให้สถานะพิเศษ แก่ฮ่องกง เพื่อตอบโต้การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ของจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีต่อฮ่องกง ทำให้ฮ่องกงไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆ รวมทั้งสิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างฮ่องกงกับสหรัฐอเมริกา ทั้งยังสั่นคลอนต่อสถานะศูนย์กลางด้านการค้าการลงทุนที่สำคัญของโลกอีกด้วย
การค้าระหว่างสหรัฐฯ และฮ่องกง
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับในอันดับแรกของฮ่องกง รองมาคือ จีน สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักรและอินเดีย คิดเป็นสัดส่วนการส่งออก 25.20%, 15.99%, 15.62%, 10.94% และ 5.82% ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ของฮ่องกงไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ เพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน คิดเป็นสัดส่วน 42.62%, 29.12%, 7.20%, 3.51%, และ 2.03% ตามลำดับ
อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของฮ่องกงเป็นที่ขึ้นชื่อ และยอมรับทั่วโลก เครื่องประดับหรูของฮ่องกงมีราคาตั้งแต่ ปานกลาง ถึงระดับสูง สินค้าที่นิยมคือ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับทองตกแต่งอัญมณี เช่น เครื่องประดับแพลทินัมและเครื่องประดับทอง 14 กะรัต หรือ 18 กะรัต ตกแต่งด้วยเพชร ซึ่งทักษะฝีมือ และการออกแบบของช่างฮ่องกงเป็นที่ยอมรับในระดับโลกเทียบเท่าฝีมือช่างในยุโรปในอีกด้านหนึ่งฮ่องกงถือเป็นประตูทางการค้าของจีนในการส่งผ่านและ/หรือกระจายสินค้าของอัญมณีและเครื่องประดับไปยังส่วนต่างๆของโลก รวมถึงเป็นฐานในกระบวนการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เครื่องประดับเพื่ออาศัยสิทธิในการเป็นแหล่งกำเนิดสินค้า ขณะที่กระบวนการผลิตจีนย้ายไปใช้เซินเจิ้น และปันหยูเป็นฐานการผลิตหลัก
ผลกระทบหลังยกเลิกสิทธิพิเศษ
สามารถแยกผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ดังนี้
1. ผลกระทบด้านการลงทุน
2. ผลกระทบด้านการกีดกันทางการค้า
3. ผลกระทบการปฏิเสธฉลากระบุถิ่นกำเนิดสินค้าในฮ่องกง
4. ผลกระทบด้านอัตราแลกเปลี่ยน
5. ผลกระทบการเดินทางและการขอวีซ่า
โอกาสต่อธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับไทย
สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่ส่งออกจากฮ่องกงนั้นจำนวนไม่น้อยเป็นสินค้ามาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ส่งผ่านมายังฮ่องกง ในฐานะที่เป็นตัวเชื่อมต่อไปยังตลาดอื่นๆ ของโลก โดยใช้สิทธิพิเศษของฮ่องกง เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยอัตราภาษีหมวดอัญมณีและเครื่องประดับปัจจุบันอยู่ที่ 0-13.5% และหากสหรัฐฯ กดดันให้ประเทศคู่ค้าอื่นโดยเฉพาะอียูและญี่ปุ่น ใช้มาตรการเดียวกัน ย่อมส่งผลกระทบให้ศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลกสั่นคลอน รวมทั้งจีนก็มีแนวโน้มลดการพึ่งพาฮ่องกงมากขึ้น โดยมีการผลักดันเมืองใหญ่หลายเมืองขึ้นมาแทนที่ ภายใต้แผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ Greater Bay Area ซึ่งนอกจากฮ่องกง ยังมีมาเก๊า เซินเจิ้น และ อีก 8 เมืองในมณฑลกวางตุ้ง
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นคือ การย้ายฐานการผลิตของจีนในขั้นตอนการเพิ่มมูลค่าและการใช้เป็นฐานส่งออกเพื่อใช้สิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าในการหลีกเลี่ยงนโยบายกีดกันทางการค้า ซึ่งความใกล้ชิดของอาเซียนและจีนภายใต้ข้อตกลงทางการค้าที่มีต่อกัน มีส่วนเกื้อหนุนให้จีน ขยายเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ มาที่อาเซียน ซึ่งผูกพันกับภาคการผลิตของจีนอย่างมาก รวมถึงมีจีนเป็นตลาดส่งออกหลักในสินค้าหลายรายการ โดยไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจด้วยการมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดี ภูมิประเทศเชื่อมโยงหลายประเทศในอาเซียน ตลอดจนมีการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงภูมิภาค และนโยบายที่ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ ฝีมือช่างเจียระไนเพชรพลอยของไทยเป็นที่รู้จักขึ้นชื่อในระดับโลก การใช้ไทยเป็นฐานการผลิตการสร้างมูลค่าเพิ่มและฐานในการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับจึงเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ ไทยยังสามารถใช้โอกาสนี้ขยายการส่งออกไปยังสหรัฐฯ แทนฮ่องกง ซึ่งสินค้าสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา โดยเฉพาะในหมวดสินค้าที่ไทยมีความโดดเด่น เช่น เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็ง และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน และเพชรเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่ไทยส่งไปยังสหรัฐฯ ในสัดส่วน 38.87%, 27.11%, 13.30%, 7.39% และ 6.01% ตามลำดับ อีกทั้งในรายการเครื่องประดับเงินและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนยังเป็นรายการที่ไทยยังไม่ถูกตัดสิทธิ GSP จากสหรัฐฯ ทำให้ได้เปรียบจีนและฮ่องกง ด้วยอัตราภาษี 0% ซึ่งมีตารางแสดงรายละเอียดอัตราอากรขาเข้าของสหรัฐฯ ที่จัดเก็บต่อจีน ฮ่องกง และไทย ดังนี้
เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงย้ายฐานการผลิต การลงทุน จากฮ่องกงมายังภูมิภาคอาเซียนได้ การเตรียมความพร้อมเพื่อแสดงให้เห็นศักยภาพที่น่าสนใจย่อมดึงดูดการค้าการลงทุนจากประเทศคู่ค้าสำคัญได้ไม่ยากนัก หากเราใช้เหตุนี้ในการสร้างโอกาสพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลกได้ ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นได้ในไม่ช้า
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)