ความท้าทายของ ‘สมพล ตรีภพนารถ’ ปั้น ‘เอ็ม บี เค’ ให้มากกว่าแค่ศูนย์การค้า
31 Jan 2022

 

“ถ้าเราทำศูนย์การค้าอย่างเดียว...เราจะเหนื่อย!! เพราะ ต้องหาร้านค้าเข้ามาเติมให้เต็มศูนย์การค้า แต่ถ้าเรามีร้านค้าอยู่ในเครือเป็นของเราเอง โดยเฉพาะ ร้านอาหารที่กำลังมีเทรนด์เติบโตที่ดี จะเข้ามาช่วยให้การทำศูนย์การค้าแบบไม่ต้องเหนื่อยมากในแง่ของการหาร้านค้าพันธมิตร”

 

นั่นคือ ส่วนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ของสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เจ้าของแบรนด์ศูนย์การค้าชื่อดังอย่างเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์, พาราไดซ์ พาร์ค และเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ทั้ง พระราม 9 และ ติวานนท์ ที่บ่งบอกถึง Strategic Move ของรีเทล ดีเวลอเปอร์ รายนี้ได้ดีว่า ส่วนหนึ่งของการขยายธุรกิจจะมุ่งไปที่การร่วมทุนกับแบรนด์ร้านอาหารเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์การค้าในเครือ

เขาบอกว่า 'เอ็มบีเค' มีแผนที่จะขยายธุรกิจทางด้านอาหา และเครื่องดื่ม เพื่อเข้ามาเสริมพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มให้มีความแข็งแกร่ง และหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่มีกลุ่มโรงแรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มค้าปลีกรีเทล เป็นต้น โดยเริ่มมีการเจรจากับเจ้าของแบรนด์ร้านอาหารชื่อดังในต่างจังหวัด 4 – 5 ราย เพื่อนำมาเติมเต็มในส่วนดังกล่าวนี้ และจะใช้กลยุทธ์เข้าไปเป็นพันธมิตรร่วมถือหุ้นกับแบรนด์ ที่มีอยู่แล้วในตลาด มุ่งเน้นไปที่ต่างจังหวัด ซึ่งมีการเจรจากับร้านอาหารดังของเชียงใหม่ ฉะเชิงเทรา และแถบชานเมืองกรุงเทพฯ

 

“หลักการง่ายๆก็คือ จะเลือกร้านอาหารที่เป็นที่รู้จัก แต่ยังไม่เคยมีในศูนย์การค้าไหนมาก่อน เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับศูนย์การค้าในเครือ คาดว่า ในปีหน้าอาจจะเจรจาสำเร็จ และเปิดตัวได้อย่างน้อยไตรมาสละ 1 แบรนด์ หรือทั้งปีคาดว่า จะปิดดีลได้สำเร็จรวม 4 แบรนด์ร้านค้า ซึ่งมีทั้งประเภทสเต๊ก อาหารจีน ก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น ”

 

ร้านอาหารถือเป็นแม่เหล็กสำคัญของศูนย์การค้าไปแล้ว ในปัจจุบัน เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การกินข้าวนอกบ้านของคนรุ่นใหม่ ที่นิยมออกมาแฮงเอาต์นอกบ้านในความถี่ ที่น่าจะถึงสัปดาห์ละ 4 – 5 ครั้ง เนื่องจาก พฤติกรรมส่วนหนึ่งของการรับประทานอาหารนอกบ้านจะเป็นการแชร์ค่าอาหารกันในกลุ่มเพื่อน ทำให้มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งไม่สูงนัก

 

 

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้การรีโนเวทของศูนย์การค้าเอ็ม บี เค ที่เริ่มทยอยเปิดโฉมใหม่ของศูนย์ในแต่ละเฟส ตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2565 จะมีการเพิ่มสัดส่วนร้านอาหารจากเดิม 16% เป็น 25% หรือมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นกว่าหมื่นตารางเมตร

ในการนี้มีการเติมเต็มร้านอาหารใหม่ๆ เข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ชินคันเซ็น ซูชิ Secret Chamber (ซีเคร็ต แชมเบอร์) ทิม ฮอร์ตันส์, GQ, เฮือนอีแม่, บ้านคุณแม่ กี้ตี๋น้อย, Oppa Daek, ลิ้มเหล่าโหงว, Hunter Village เป็นต้น โดยการปรับโฉม MBK Center ครั้งนี้ ต้องการให้เป็นจุดหมายปลายทางของการนัดพบสังสรรค์แบบ All Day Dining ทั้งกับร้านอาหาร, ร้านคาเฟ่, ร้าน Bar & Restaurant ในบรรยากาศ Night Life เพื่อครอบคลุม 4 ช่วงเวลาของลูกค้า ตั้งแต่มื้อเช้า – มื้อกลางวัน – มื้อเย็น ไปจนถึงมื้อค่ำ หรือมื้อดึก ทั้งสำหรับนักเรียน – นักศึกษา เนื่องจาก MBK Center โฉมใหม่ ได้รวบรวมติวเตอร์กวดวิชามาไว้ในที่เดียวมากถึง 25 สถาบัน, คนทำงาน และนักท่องเที่ยว

 

การปรับโฉมเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ในครั้งนี้ จะตามมาด้วยรูปแบบใหม่ของการจัดเก็บรายได้ จากเดิมที่ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ จะมีรายได้จากค่าเช่าเป็นหลัก ก็ปรับมาเป็นระบบการคิดค่าจีพี หรือการใช้วิธีแบ่งเปอร์เซ็นต์รายได้จากร้านค้าแทน โดยเริ่มจากร้านค้าที่เป็นร้านอาหารก่อน

รูปแบบการจัดเก็บรายได้อย่างนี้ สมพล บอกว่า มันจะวิน วิน ทั้ง 2 ฝ่าย คือกับทั้งร้านค้า และเจ้าของศูนย์ เพราะในกรณีที่ตลาดไม่ดี ร้านค้าก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ตายตัวแบบค่าเช่า ซึ่งจะทำให้มีต้นทุนในการดำเนินการที่เป็น Fixed cost แต่ถ้าหากตลาดดี ลูกค้าเยอะก็ต้องจ่ายค่าจีพีสูงตามไปด้วย

 

เพราะฉะนั้นแล้ว การทำการตลาด หรือจัดอีเวนต์ เพื่อดึงคนเข้าศูนย์ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะมีการทำออกมาอย่างต่อเนื่อง อย่างการเปิดตัวเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ โฉมใหม่ในช่วงปลายเดือนธันวาคมนี้ จะมีจัดแคมเปญอีเวนต์ต่างๆ เฉลิมฉลองภายใต้คอนเซปต์ MBK MB COOL ศูนย์กลางการใช้ชีวิตแบบคูลๆ เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้สัมผัสบรรยากาศการตกแต่งใหม่ ครั้งแรกของศูนย์การค้าในเมืองไทยกับจอ LED 3D ขนาดใหญ่ ที่จะทำให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ตื่นเต้นเสมือนจริง ร้านอาหาร ร้านค้าแบรนด์ชั้นนำมากมายที่ยกขบวนมาให้ได้ช้อป และใช้เวลาพบปะสังสรรค์ได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางวันจนถึงกลางคืน”

 

เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ถือเป็นศูนย์การค้าที่มีลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติค่อนข้างมาก เฉลี่ยมีสัดส่วนถึง 60% แต่หลังการระบาดของโควิด – 19 ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดท่องเที่ยวของบ้านเรา ทำให้นักท่องเที่ยวแทบจะไม่มีเดินทางเข้ามาในไทย การปรับโฉมในครั้งนี้ จึงมีการปรับกลุ่มเป้าหมายใหม่ หันมาเน้นที่คนไทย 60% ส่วนลูกค้าต่างชาติจะอยู่ที่ 40% ก่อนหน้านั้น มีคนหมุนเวียนในศูนย์เฉลี่ย 80,000 คนต่อวัน และเคยแตะหลัก 120,000 คนต่อวันในช่วงปี 2556 โดยในจำนวนนี้เป็นชาวต่างชาติ 60% หรืออยู่ที่ 48,000 คน (จาก 80,000 คน) และคนไทย 40% หรือประมาณ 32,000 คน ขณะที่เป้าหมายปี 2565 ตั้งเป้า Traffic 90,000 คนต่อวัน โดยปรับสัดส่วนคนต่างชาติ เหลือ 36,000 คน และลูกค้าไทย 54,000 คน

 

เราจะใช้เรื่องของฟู้ด หรืออาหาร เป็นตัวนำ ในการดึงคนเข้ามาที่ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ โดยต้องการก้าวขึ้นไปเป็นฟู้ด เดสติเนชั่น ของคนรุ่นใหม่ ขณะที่แม่เหล็กรองๆ ลงไปจะเป็นเรื่องของแฟชั่น และบิวเตอร์ รวมถึงเอนเตอร์เทนเมนต์ในรูปแบบต่างๆ 

 

เขายังบอกอีกว่า การปรับโฉมในครั้งนี้ จะใช้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท ด้วยการปรับโฉม และการปรับพื้นที่ การเพิ่มร้านค้าใหม่ๆ ทั้งศูนย์ประมาณ 140,000 ตารางเมตรโดยเฉพาะกับการให้ความสำคัญต่อพื้นที่ร้านอาหารมากขึ้น ทั้งร้านคาเฟ่&ไดนิ่ง แฮงเอาต์สุดชิลในบรรยากาศไนต์ไลฟ์ ซึ่งมีร้านใหม่ๆ ที่เปิดให้บริการไปแล้ว เช่น ทิม ฮอร์ตันส์, GQ, เฮือนอีแม่, บ้านคุณแม่, JBUYNOW, MR.D.I.Y., FUKU MATCHA, Ampol Burger & Cheesy Fried.BKK ล่าสุดที่เพิ่งเปิดให้บริการ คือ ชินคันเซ็น ซูชิ ส่วน Secret Chamber (ซีเคร็ต แชมเบอร์) จะเปิดให้บริการวันที่ 17 ธันวาคม 2564 ดองกิ จะเปิดวันที่ 21 ธันวาคม 2564 เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00-24.00 น. พร้อมอีกหลายร้านที่กำลังจะทยอยเปิดอย่างต่อเนื่องจนถึงในปี 2565 เช่น สุกี้ตี๋น้อย, Oppa Daek, ลิ้มเหล่าโหงว, Hunter Village เป็นต้น

 

 

นอกจากปรับโฉมเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ คุณสมพล กล่าวว่า ยังขยายธุรกิจปักธงทำเลทองไปถึงฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานครกับ  ‘เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์’ โมเดิร์น ไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้มอลล์ แห่งใหม่ ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ดีไซน์ที่โมเดิร์น บนพื้นที่กว่า 30,000 ตร.ม. แวดล้อมด้วยบรรยากาศธรรมชาติ ใกล้กับสนามกอล์ฟ ริเวอร์เดล กอล์ฟ คลับ และสนามกอล์ฟบางกอก กอล์ฟ คลับ พร้อมต้อนรับลูกค้าคนสำคัญทุกคนได้มาร่วมสัมผัสกับประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบวาไรตี้ครบวงจรในจุดเดียวและบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ภายใต้คอนเซปต์ Neighborhood Backyard เพื่อนบ้านที่มีความเป็นมิตร อบอุ่น รู้ใจ เป็นกันเอง

 

“เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ คือตัวอย่างที่ดีของการทำธุรกิจพัฒนาศูนย์การค้าของเอ็ม บี เค เพราะเป็นการทำบนที่ดินของตัวเองจึงไม่มีต้นทุนในเรื่องของค่าเช่า ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างดี โดยสิ่งที่จะเป็นหัวใจสำคัญที่เราจะเติมเต็มเข้าไปก็คือออฟฟิศ ที่จะเข้ามาช่วยในเรื่องของทราฟิกในวันธรรมดา ซึ่งการทำศูนย์การค้าแนวคอมมูนิตี้มอลล์แบบนี้ หากจะให้ประสบความสำเร็จได้ ต้องสร้างคนที่หมุนเวียนเข้ามาเดินในศูนย์ในวันธรรมดาให้ได้ โดยเราจะมีการย้ายออฟฟิศของบริษัทในกลุ่มเข้าไปเปิด เริ่มจาก บริษัท แอพเพิล ออโต้ ออคชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัทประมูลรถในเครือเอ็ม บี เค กรุ๊ป ก่อนที่จะย้ายบริษัทเอ็ม บี เค กรุ๊ป ทั้งหมดตามไปในเฟสที่สอง

 

และนี่จึง เป็นอีก Big Move ที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2565 ที่จะถึงนี้.....

                 

[อ่าน 11,192]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“เพราะชีวิตคือบททดสอบ” เปิดเรื่องราวชีวิตหญิงแกร่ง CHRO แห่งทรู คอร์ปอเรชั่น
‘ไพศาล อ่าวสถาพร’ กับเบื้องหลังการปั้น ‘บิสโตร เอเชีย’ ให้มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 70%
ศุภลักษณ์ อัมพุช กับ New Era ของกลุ่มเดอะมอลล์ ที่เป็นมากกว่าแค่ช้อปปิ้ง แต่คือการสร้างย่านการค้า
Future Food เทรนด์อาหารแห่งอนาคตเพื่อโลกที่ยั่งยืน กับมุมมองของไทยยูเนี่ยน
เจน - ชลันดา ศรีวิทิตกุล Interior Designer ที่ผสานเทคโนโลยีเข้ากับงานออกแบบ
ถอดรหัส HERO BRAND กลยุทธ์สร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืนของ ”ซัคเซสมอร์”
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved