
“ภาวะเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคยังคงเผชิญความท้าทายจากการเติบโตที่ชะลอตัว ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นเสริมสร้างรากฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งขับเคลื่อนกลยุทธ์ภายใต้ PASSION 2030 อย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นในการเข้าถึงผู้บริโภค รวมถึงส่งเสริมศักยภาพบุคลากร และเสริมแกร่งตราสินค้าของเรา ซึ่งเราเชื่อว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างไทยเบฟให้มีความคล่องตัว แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ตอกย้ำความเป็น ‘ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน’ ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร”
นั่นคือคำกล่าวของ ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่พูดเปิดหัวไว้ในงานแถลงข่าวผลประกอบการของบริษัทเมื่อเร็วๆ นี้
เขาเสริมว่า Pasion 2030 ถือเป็นแผน 3 ปี 2 หน ของกลุ่มไทยเบฟ ที่เป็นเสมือนการวางแนวทางในการขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งในการลงรายละเอียด อาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปบ้างเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา
โดยแผนการดำเนินงานภายใต้ PASSION 2030 ของไทยเบฟ มุ่งเน้นกลยุทธ์หลักสองประการ ได้แก่ Reach Competitively หรือ การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทาง พร้อมการให้บริการที่เป็นเลิศไร้รอยต่อในระดับต้นทุนที่แข่งขันได้
ส่วนกลยุทธ์ที่ 2 จะเกี่ยวกับเรื่องของ Digital for Growth หรือ ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต เสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสมรรถภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงเครือข่ายคู่ค้าและผู้บริโภค เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ในแง่ของกลยุทธ์แรก คือ Reach Competitively นอกจาก การเร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดจำหน่าย เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าในวงกว้างและลึกได้มากยิ่งขึ้นแล้ว กลยุทธ์นี้ ยังเชื่อมโยงกับกลยุทธ์ที่ 2 หรือ Digital for Growth ที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการเพิ่มศักยภาพในการจัดจำหน่าย ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการเข้าถึงคู่ค้า เพื่อพัฒนาขีดความสามารถร่วมกันในการกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคได้มากที่สุด
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการมองถึงเรื่องของดาต้า ที่จะเข้ามาช่วยทำให้เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการพัฒนาสินค้า รวมถึงแผนการตลาดที่สามารถตอบโจทย์พวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านั้น การกระจายสินค้าของกลุ่มไทยเบฟ จะมีคนที่เข้ามาช่วยในเรื่องของการจัดจำหน่าย ทั้ง ไทยเบฟเอง F&N และเสริมสุข แต่ตามกลยุทธ์ Passion 2030 นั้น จะมีการ Synergy ทั้งหมดเข้าด้วยกันให้เป็น One Logistic ทั้งการกระจายสินค้าผ่าน Cash Van การกระจายสินค้าเข้าโมเดิร์นเทรด ที่จะมีการเพิ่มประสิทธิภาพผ่านการบริหารจัดการที่เรียกว่า Area Management โดยมีเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพเข้ามาเป็นตัวช่วย
“การดำเนินงานเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างรากฐานของไทยเบฟให้แข็งแกร่ง สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ พร้อมทั้งเสริมแกร่งสถานะผู้นำตลาด และเสริมสร้างตราสินค้าที่แข็งแกร่งครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายได้ต่อไปในระยะยาว”
เมื่อมองมาที่ตัวเลขผลประกอบการแล้ว พบว่า ในช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ไทยเบฟมีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้การบริโภคจะชะลอตัวลง และถึงแม้จะมีการลงทุนในตราสินค้าและการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ตราสินค้าต่าง ๆ แต่กลุ่มมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลงเพียงร้อยละ 4.0 จากปีก่อน เป็น 45,026 ล้านบาท
การรักษาการเติบโตอย่างต่อเหนือ รวมถึง การขับเคลื่อนธุรกิจสู่ก้าวถัดไป ไทยเบฟมุ่งมั่นเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดในประเทศ พร้อมขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ และพัฒนาศักยภาพจากการผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธุรกิจต่างๆ นอกจากนี้ กลุ่มยังแสวงหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน รวมถึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานและการกระจายสินค้า ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร ตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ภายใต้ PASSION 2030
ฐาปน บอกว่า การทำธุรกิจในปัจจุบัน ผู้ประกอบการรายใดที่มีกำลัง และมีสเกลในการผลิตที่มากพอ ต้องสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน ก็พร้อมที่จะปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งกลยุทธ์ที่เป็น Reach Competitively จะเข้ามาเป็นตัวช่วยในการเพิ่มวอลุม เพื่อทำให้มีสเกลที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งนั่นจะได้ให้เป็นอีกข้อได้เปรียบในการแข่งขันในช่วงเวลาถัดจากนี้ไป ซึ่งไม่เพียงแค่การทำธุรกิจในประเทศ แต่ยังรวมถึงการก้าวออกไปเติบโตในภูมิภาคอาเซียน
โดยเขามองว่า ในภูมิภาคนี้ ยังมีโอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างรออยู่ ทั้งในประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่มีประชากรค่อนข้างมาก ซึ่งจะกลายเป็นโอกาสในการเข้าไปสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ตามแผน Passion 2030 ที่ประกาศออกมา
“ไทยเบฟพร้อมเดินหน้าบนเส้นทางสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง และสร้างสรรค์คุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายด้วยความมุ่งมั่นตามพันธกิจ ‘สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต’ และวิสัยทัศน์สู่การเป็น ‘ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน’ ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร” ฐาปน กล่าวสรุปทิ้งท้าย
บทความจากนิตยสาร MarketPlus ฉบับที่ 181 October-November





