จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ปั้น ‘บิทคับ’ เป็น Digital Infrastructure ของประเทศไทย
11 Jul 2022

 

ผู้นำองค์กรที่เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงและมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลอย่าง ท๊อป - จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา’ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ปโฮล ดิ้งส์ จำกัด บริษัทโฮลดิ้งที่ทำหน้าที่ลงทุนในธุรกิจที่มีโอกาสใหม่ๆ และเป็นผู้ถือหุ้น 100% กับบริษัทในเครือของบิทคับทั้ง 8 แห่ง

ซึ่งวางยุทธศาสตร์โดยรวม ด้วยความปรารถนาที่จะเป็น โครงสร้างพื้นฐานในเศรษฐกิจดิจิทัล’ ให้กับประเทศไทย อันเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องการสร้างระบบนิเวศ และสนับสนุนให้ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทยเติบโตได้อย่างกว้างขวาง อันเป็นเทรนด์ของระบบเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นทั่วโลกในอนาคตอันใกล้ และเป็นเทรนด์ที่มีการคอนเฟริมกันมาแล้วจากผู้นำระดับโลก บนเวที World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทริปของการเดินทางที่ทำให้ ท๊อป จิรายุส รู้สึกอิ่มเอมว่า บิทคับมาถูกทางแล้ว นอกเหนือจากนี้ยังได้ขึ้นเวทีปราศรัยเป็นครั้งแรกบนเวทีนี่อีกด้วย 

 

มองเทรนด์การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลกับทิศทางการเติบโตของ บิทคับอย่างไร

เรากำลังสร้าง บิทคับ ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย เพราะเรามองว่า ในอนาคต เศรษฐกิจดิจิทัลจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมากๆ เนื่องจากจะมีธีมใหม่ที่เรียกว่า Digital Wealth หรือ ความมั่งคั่งจากเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงกันอย่างมากใน World Economic Forum ที่ดาวอสของปีนี้ ดูได้จากตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลจีนในขณะนี้ขึ้นไปถึง 40% ของ GDP แล้ว โดยในส่วนของจีนมีการกล่าวว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของจีนนั้นขึ้นกับชนชั้นกลาง  ซึ่งแน่นอนว่า ชนชั้นกลาง คือ Big Spender เป็น Internet User และเป็นเซ็กเมนต์ของ User ที่มีฐานที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

ขณะที่ยุทธศาสตร์ของประเทศไทยเรายังพึ่งพาการท่องเที่ยวสูงถึง 20% ของ GDP ยังเป็น Amazing Thailand อยู่เลย เงินจากการท่องเที่ยวที่เคยได้ 3 ล้านล้านบาท เมื่อเกิดโควิด-19 รายได้เข้าประเทศจากการท่องเที่ยวลดลงเหลือ 3 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศไทยก็ยังเป็นดีทรอยด์แห่งเอเซียเรายังเป็นเศรษฐกิจยุคเก่าอยู่เลย ซึ่งในยุคนี้ไม่ได้แล้ว ประเทศไทยต้องพึ่งพาเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งการที่จะทำให้เกิดเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทยได้นั้นจะต้องเริ่มที่โครงสร้างหลักให้แข็งแรงก่อน บิทคับจึงมุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้แข็งแกร่งก่อน 

 

นอกจากนี้ ธีมใหม่ของโลกที่กำลังดำเนินไป คือ Digital Inclusion หรือ ความเท่าเทียมทางดิจิทัล ซึ่งเป็นประเด็นใหม่ที่จะมีคนพูดมากขึ้นเรื่อยๆ  Digital  Inclusion  หรือ ความเท่าเทียมทางดิจิทัล ซึ่งเป็นการให้บริการให้เกิดความเท่าเทียมกันได้ในมิติต่างๆ ด้วยเทคโนโลยี ประกอบด้วย 

 

  • Financial Inclusion     หรือความเท่าเทียมทางการเงิน'
  • Education Inclusion   หรือความเท่าเทียมทางการศึกษา
  • Healthcare Inclusion หรือความเท่าเทียมทางด้านเฮลธ์แคร์

 

ทั้งสามหมวดนี้สามารถที่จะสเกลอัป เพื่อให้บริการกับคนจำนวนมากๆ ได้ด้วยเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นบริการทางการเงิน บริการทางการศึกษาและบริการทางด้านสาธารณสุข ดังนั้น รัฐบาลจึงควรต้องดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัล (Digital Inclusion) ด้วย Digital ID และ Connectivityให้กับประชาชน กล่าวคือ

 

  • 1) รัฐบาลต้องมี Connectivity ให้กับประชาชน เพื่อให้คนเข้าถึงทั้งสามด้านข้างต้นด้วยเทคโนโลยี ซึ่งได้แก่ บริการทางด้านการเงิน บริการทางด้านการศึกษาและบริการทางด้านเฮลธ์แคร์ โดยรัฐบาลควรให้บริการอินเทอร์เน็ตฟรีเหมือนกับแสงไฟบนท้องถนน เหมือนน้ำ เหมือนอากาศที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ โดยไม่ต้องเสียเงิน 
  • 2) รัฐบาลต้องทำให้ประชาชนมี Digital ID ซึ่งหากบัตร ID CARD (บัตรประชาชน) ยังเป็นแบบ Physical ซึ่งเป็นบัตรแบบที่ใช้กันอย่างทุกวันนี้ก็อาจจะทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงบริการต่างๆ เนื่องจากในต่างจังหวัดหรือพื้นที่ห่างไกลก็ยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่มีบัตรประชาชน แตกต่างจากคนกรุงเทพฯ ดังนั้น เมื่อไม่มี Digital ID ก็จะทำให้ประชาชนยากที่จะเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานทางด้านการศึกษา เฮลธ์แคร์หรือแม้แต่บริการทางการเงินได้

 

ในเมื่อเรารู้แล้วว่า สิ่งที่ผู้นำทั่วโลกพูดกันในดาวอสเกี่ยวกับ Digital Inclusion ซึ่งจะต้องเติบโตไปด้วยกันกับ Financial Inclusion หรือความเท่าเทียมทางการเงิน, Education Inclusion หรือความเท่าเทียมทางการศึกษา และ Healthcare Inclusion หรือ ความเท่าเทียมทางด้านเฮลธ์แคร์ ซึ่งเป็น Growth Area หรือ พื้นที่การเติบโตในอนาคต

 

 

 

 

ดังนั้น เมื่อมองกลับมาที่บิทคับว่า ถ้าเราจะผลักดันให้ประเทศไทยมี Digital Inclusion มากขึ้น วันนี้ เราจะต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานอะไรที่มีความจำเป็นต่อประเทศไทย ปัจจุบัน บิทคับมีบริษัททั้งหมด 9 บริษัทในเครือ และมีพนักงานทั้งหมด 2,000 คน ซึ่งตอนนี้บิทคับทั้งกลุ่มเราพยายามที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดขึ้นในประเทศไทยให้ได้ โดยสองบริษัทแรกของเราทั้ง บิทคับ เอ็กซ์เชนจ์ และ บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นการสร้าง Financial Infrastructure เพื่อทำให้เกิด Digital Inclusion

 

1. บิทคับ เอ็กซ์เชนจ์ เป็น Digital Asset Exchange ที่ได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (คณะกรรมการ ...) นี่คือโครงสร้างพื้นฐานของ Financial Inclusion หรือความเท่าเทียมทางการเงินที่จะทำให้คนที่มีมือถือต่ออินเทอร์เน็ตแล้วเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัล (Digital Currency) ได้ ซึ่งอีกหน่อยก็จะเป็น  Central Bank Digital Currency (CBDC) หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกมาภายในไตรมาส 4/2565 นี้ ซึ่งการที่จะใช้เงินดิจิทัลได้ก็ต้องมีโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่ง บิทคับ ก็ต้องพยายามที่จะเป็น Digital Infrastructure ของบริการทางการเงินต่างๆ (Financial Services)

 

2. บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี บริษัทผู้ให้คำปรึกษา และเสนอผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ เทคโนโลยีบล็อกเชน เช่น Bitkub Chain เครือข่ายบล็อกเชน Bitkub NEXT กระเป๋าเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล Bitkub NFT แพลตฟอร์มซื้อขาย NFT ซึ่ง NFT ของคนไทยก็มีธุรกรรมมากไม่แพ้ใคร กล่าวได้ว่า ตอนนี้ ธุรกรรมบน บิทคับเชน (Bitkub Chain) รวมๆ ขึ้นไปถึงอันดับที่ 12 ของโลกแล้ว

 

3. บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า บิทคับอะคาเดมี’ (Bitkub Academy) แหล่งให้ความรู้ด้านบล็อกเชนเทคโนโลยีและสินทรัพย์ดิจิทัล เป็น Open Education Platform (แพลตฟอร์มทางการศึกษาแบบเปิด) ที่ทำให้คนไทยเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม ทั้งนี้ ข้อดีของ Open Education Platform คือ ไม่ได้สอนแบบออฟไลน์ที่ทุกคนเข้าถึงต้นทุนเก้าอี้ต่อตัวแพงเกินไป ทำให้คนที่ไม่มีเงินก็เข้าถึงการศึกษาไม่ได้ เนื่องจากเมื่อต้องการสอนคนมากขึ้นก็ต้องจ้างอาจารย์เพิ่ม ห้องเรียนก็ต้องขยายตาม ดังนั้น ราคาเก้าอี้ตัวละ 1,000 บาทจึงไม่สามารถทำให้สเกลการศึกษาได้

 

แต่เมื่อเราเป็น Open Education Platform ด้วย Bitkub Academy คนที่อยู่ในที่ต่างๆ ในประเทศไทยล้วนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ผ่านมือถือที่ต่ออินเทอร์เน็ตที่รัฐบาลต้องให้การเชื่อมโยง หรือ Connectivity กับคนไทยฟรีในอนาคต และสามารถใช้การศึกษาบนออนไลน์มาพัฒนาตนเองได้ทั้ง Re-Skill, Up-Skill และเรียน Skill Set  (ชุดของทักษะ) ที่กำลังเป็นที่ต้องการในโลกอนาคตเป็น Digital Skill Worker (แรงงานที่มีทักษะเชิงดิจิทัล) ที่ขาดแคลนในตลาดตอนนี้ เพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ของประเทศไทย 

 

เมื่อก่อนแวดวงการศึกษากับแวดวงการเงินไม่แตกต่างกัน นั่นคือ อนาคตของการศึกษาหรือการเงินถูกกำหนดโดยคนเพียงไม่กี่คน ซึ่งเรียกว่า Closed Door Meeting เช่น การกำหนดว่า เงินเฟ้อปีนี้จะเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ อัตราดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร และธนาคารควรจะให้บริการทางด้านใดกับลูกค้าบ้าง ควรจะมีลูกเล่นอะไรบ้าง แวดวงการศึกษาก็ไม่ต่างกัน ทางกระทรวงศึกษาธิการหรือกระทรวงที่เกี่ยวข้องมาตกลงกันว่า นักเรียนนักศึกษาควรจะเรียนอะไรบ้าง แล้วกว่าจะเขียนตำราเรียนก็ใช้เวลาหลายสิบปี กว่าจะเขียนตำรามาสอนเสร็จ - โลกเปลี่ยนไปแล้ว 

 

ในอนาคต ทั้งระบบการเงินและระบบการศึกษาต่อไปจะเป็นระบบเปิด ไม่ใช่ระบบปิด อย่างในวงการเงินเรียกว่า DeFi นั่นหมายความว่า นวัตกรรมมาจากทุกที่ทุกเวลา ใครๆ ก็สามารถสร้างบริการทางการเงินได้ผ่าน Open Source System, Open Source Technology และผู้คนก็ช่วยกันตรวจสอบ (Audit) ได้ เพราะเป็นระบบเปิด ส่วนระบบการศึกษาก็เช่นเดียวกัน เด็กในอนาคตทุกคนที่มีความรู้ที่เหมาะกับตลาด หรือคอนเนคที่ดีก็สามารถที่จะเป็นอาจารย์สอนคนทั้งประเทศได้เลยผ่าน Open Education Platform ซึ่งคำว่า Open นั้นมีนัยที่แตกต่างกันคือ

 

  • หนึ่ง คือ Eco Access เพราะระบบการเรียนแบบออฟไลน์นั้น Marginal Cost Production สูง ขณะที่การสอนออนไลน์ 50 คน หรือ 500 คน หรือ 5 ล้านคนต้นทุนเท่าเดิม เพราะดิจิทัลเทคโนโลยี, ซอฟต์แวร์เป็น Internet Resource ทรัพยากรบนอินเทอร์เน็ตที่สามารถทำให้เราสามารถสเกลการศึกษาได้ 
  • สอง คือ ต้นทุน หรือ Cost นั้นสามารถสร้างโดยใครก็ได้ที่มีความเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องเป็นการเรียนการสอนแบบ Top Down หรือกำหนดโดยใครบางคนเท่านั้น 
  • สามคือ Up to Date ตลอดเวลา ซิงก์ตลอดเหมือนระบบปฏิบัติการ iOS, Android. บนมือถือที่ไม่ต้องการซื้อฮาร์ดแวร์อันใหม่ แต่ซอฟต์แวร์มันอัปเดตตลอดเวลา เพราะคอนเทนต์ต้องทันสมัย ไม่ใช่ใช้เวลา 50 ปีเขียนตำรา เพราะโลกขยับและเปลี่ยนแปลงเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เกิด Education Inclusion หรือความเท่าเทียมทางการศึกษาที่เป็น 1 ใน 3 ของธีม  Digital Inclusion

4.บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ส จำกัด หน่วยงานด้านการลงทุนในสตาร์ตอัพรุ่นน้องๆ สำหรับบริษัทนี้ บิทคับ ลงทุนไปกว่า 5,000 ล้านบาท กำไร 2,600 กว่าล้านบาท แล้วถ้ามองตัวเลขทั้งกลุ่ม เราทำกำไรได้กว่า 3,000 ล้านบาท 

 

เราเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ทำกำไรมากที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ถ้าเราไม่เอาเงินมาลงทุนกับสตาร์ทอัพตรงนี้ ระบบนิเวศ (Ecosystem) ของเศรษฐกิจดิจิทัลมันไปต่อไม่ได้ เนื่องจากสตาร์ทอัปเกิดมาก และพีคสุดในช่วงปี 2015-2016 เราเองก็เกิดในเวฟแรกตอนที่มีดีแทคและเอไอเอสยังสนับสนุนกลุ่มสตาร์ทอัพแต่พอปี 2020 ไม่มีสตาร์ทอัพเกิดใหม่เลย หายไปหมด ขณะที่ดีแทค และเอไอเอสก็ปิดตัวในส่วนของการสนับสนุนสตาร์ทอัพ ไม่มีคนสร้างระบบนิเวศ

 

ถ้าไม่มี ลูกอ๊อดใหม่ ก็จะไม่มียูนิคอร์น

 

ดังนั้น เราจึงต้องบ่มเพาะลูกอ๊อดด้วยการใช้เงินลงทุนของเรา เพื่อจะสร้างสเกลอัป อย่างในยุคปี 2015-2016 สตาร์ทอัพที่รอดมาก็มี แฟลช กับ บิทคับ ที่สเกลอัปได้เป็นยูนิคอร์น ตอนนี้ไม่มีลูกอ็อดใหม่ ดังนั้น หน้าที่ของสเกลอัปก็คือต้องเอาเงินกำไรมาพัฒนา ทั้งนี้ แนวทางความคิดของเรื่องนี้ก็เหมือนๆ กับ PayPal Mafia ที่มีผู้ร่วมก่อตั้ง 7 คนแล้วแยกย้ายกันไปทำ YouTube, Yammer, Yelp, LinkedIn, Tesla และ Space X ฯลฯ รวมๆ ก็สามารถสร้างซิลิคอนวัลเลย์ได้เลย บิทคับก็คิดคล้ายๆ กันที่จะต้องมีการลงทุนในสตาร์ทอัพรุ่นน้อง ถ้ารัฐบาลไม่เร่งทำ Accelerator หรือ Incubator เอกชนก็ต้องทำเอง เป็น Venture Builder

 

5.  บริษัท บิทคับ เอ็ม จำกัด บริษัทร่วมลงทุนกับ เดอะมอลล์ กรุ๊ป เพื่อสร้าง Digital Community โดยทำเป็น Bitkub M Social ที่ชั้น 8,9 ของศูนย์การค้าดิเอ็มควอเทียร์ เพื่อให้เทรดเดอร์มาพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความรู้และสัมมนา พร้อมทั้งนำประโยชน์ของเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ร่วมกับวงการค้าปลีกและไลฟ์สไตล์ โดยมี NFT Gallery, NFT Museum เพื่อจัดแสดงภาพ NFT นอกจากนี้ ที่นี่ก็ยังมีสินค้า Merchandized ขายของที่ระลึกของกลุ่ม บิทคับ ในเครือทั้งหมด เช่น เสื้อ, หมวก, แก้ว Tumbler ฯลฯ 

 

6. บริษัท บิทคับ เวิลด์เทค จำกัด บริษัทร่วมลงทุนกับ กลุ่มคุณวิชัย ทองแตง เพื่อดำเนินโครงการศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านการศึกษาเทคโนโลยีดิจิทัล และปรับทักษะ (Re-skill) เพื่ออาชีพที่เน้นกลุ่มเยาวชน โดยเบื้องต้นจะเน้นให้นักเรียนอาชีวะเขียนบล็อกเชนให้ได้ ซึ่งธุรกิจนี้ก็ลิงก์กับการเป็นโครงสร้างพื้นฐานในส่วนของ Education Inclusion เพื่อเป็นการพัฒนาบุคลากรภายในประเทศ และจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับคนอาชีวะทั้งประเทศด้วย ถ้าสามารถเขียนบล็อกเชนได้ ก็จะสามารถสร้างรายได้ต่อหัวเพิ่มเป็นหลักแสนบาท หรือทำเกี่ยวกับภาครัฐที่จะทำบล็อกเชนเกี่ยวกับบริการเฮลธ์แคร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Healthcare Inclusion

 

7. บริษัท บิทคับ อินฟินิตี จำกัด ธุรกิจให้บริการจัดการพอร์ตการลงทุนให้กับลูกค้า ทั้งนี้ ต้องเข้าใจว่า วิสัยทัศน์กลุ่มบริษัทในเครือของบิทคับ เป็นธุรกิจที่สร้างโอกาสเพื่อการพัฒนาตนเอง ด้วยการเข้าถึงความรู้อย่าง Bitkub Academy หรือการสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งลงทุนที่ดีอย่าง Bitkub Exchange หรือการสร้างโอกาสในการรับเงินลงทุนที่ดีอย่าง Bitkub Venture เป็นธุรกิจที่มีให้สำหรับคนไทยที่เก่ง มีความสามารถ แต่ขาดแคลนเงินทุน ขณะที่ Bitkub Infinity คือ การรับลงทุนให้นักลงทุนที่ไม่มีเวลา หรือไม่มีความรู้ในวงการ Digital Asset ก็ลงทุนในกองทุน

 

8. บริษัท คับเทค จำกัด (KUBTECH) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุนระหว่าง บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป จากประเทศไทย และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและเทคโนโลยีสารสนเทศในเวียดนาม ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นฝ่ายละ 50%  ปัจจุบันเรามีนักพัฒนา (Developer) และวิศวกรประมาณ 60 คนแล้วที่เวียดนาม เพื่อที่จะนำทรัพยากรบุคคลเหล่านี้มาพัฒนาบริษัทในเครือ เนื่องจากบิทคับมีแพลตฟอร์มที่จะต้องสร้างเยอะมาก แต่ยังขาดวิศวกรจึงต้องขยายฐานธุรกิจไปที่เวียดนาม 

 

9.  บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด บริษัทโฮลดิ้งที่ถือหุ้น 100% ในบริษัทย่อยทั้งหมดที่ดำเนินการเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมทั้งเป็น Investment Company ด้วยนอกเหนือจากการเป็น Holding Company โดยมีผมเป็น CEO of GROUP และในแต่ละบริษัทย่อยก็จะมี Local CEO

 

 

โดยสรุป คือ ในส่วนของบิทคับ เรารู้ว่า โลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร นั่นคือ Digital Inclusion หรือ ความเท่าเทียมทางดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วย Financial Inclusion (ความเท่าเทียมทางการเงิน), Education Inclusion (ความเท่าเทียมทางการศึกษา), Healthcare Inclusion (ความเท่าเทียมทางด้านเฮลธ์แคร์โดยการนำเทคโนโลยีมาสเกลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมกันให้ได้เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า รัฐบาลจะต้องให้ Connectivity และ Digital ID 

ดังนั้นเราจึงต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักที่จะทำให้เกิด Digital Inclusion ให้กับประเทศไทย นอกจากนี้เราก็ยังมีแผนที่จะทำอีกหลายอย่างในอีก 3 ปีข้างหน้า อาทิ Bitkub Metaverse, e-Marketplace, Permission DeFi, Game Fire, Play2Earn, Exercise2Earn, Learn2Earn, Watch2Earn, Web3 และเป็น Web3 Company เป็นผู้ที่ทำโครงสร้างพื้นฐานให้กับเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นผู้ที่กล้าที่จะทำ Business Model แนวใหม่ๆ ตอนนี้เรามีพนักงาน 2,000 คนแล้วที่จะลงมือเพื่อให้ภาพรวมที่กล่าวทั้งหมดเกิดขึ้นได้ จริงๆ 

 

ทั้งนี้ต้องเข้าใจ Web3 ก่อนว่า มันเป็นระบบเปิดที่บริษัทสามารถร่วมกันเป็นเจ้าของได้ (Co-Own) สามารถที่จะร่วมกันพัฒนาได้เป็นระบบเปิด (Co-Develop) และสามารถที่จะใช้แพลตฟอร์มร่วมกันแล้วทำให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันกลับมา (Co-Benefit) 

 


รอพบ EP 02 เร็วๆ นี้


 

[อ่าน 7,594]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คุยกับ 2 ผู้บริหารแห่ง “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” กับการรุกขยายพอร์ตฯ พร้อมเปิด 8 แบรนด์ใหม่
สรุปความสำเร็จของ ‘แมคโดนัลด์’ ผ่านมุมมองของ ‘คุณกิตติวรรณ อนุเวชสกุล’
ทำความรู้จัก “ปิ่นเพชร โกลบอล” ผู้อยู่เบื้องหลัง “ฮากุ” แบรนด์ทิชชู่เปียกของคนไทย
ดิษทัต ปันยารชุน วางรากฐาน OR เตรียมส่งไม้ต่อให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
วีรพล สวรรค์พิทักษ์ ยุทธศาสตร์ Eminent Air สู่ทศวรรษที่ 5
บทพิสูจน์ MAZDA เพื่อก้าวสู่ การเติบโตที่ยั่งยืน
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved