เวชธานี เป็นแบรนด์โรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในธุรกิจโรงพยาบาลมาร่วม 30 ปี จุดแข็งของ เวชธานี คือ การเป็นโรงพยาบาลที่มีความพร้อมในการรักษาผู้ป่วย โดยแพทย์เฉพาะทางหลากหลายสาขา ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ประกอบกับความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญในด้านต่างๆ เพื่อประสิทธิภาพการดูแลรักษาสูงสุด โดยปัจจุบันมีศูนย์การบริการทางการแพทย์เฉพาะทางมากกว่า 20 ศูนย์
ขณะที่การอยู่ในตลาดมานาน ทำให้ชื่อเสียงของเวชธานีเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะในมุมของการรักษาผู้ป่วยแบบองค์รวม ที่มีศูนย์เฉพาะทางรวมอยู่ในโรงพยาบาลจำนวนมาก
ดร.ชาคริต ศึกษากิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เวชธานี จำกัด (มหาชน) บอกว่า
เวชธานี ประสบความสำเร็จมาตลอดในช่วงหลายปีหลังมานี้ ด้วยการเติบโตของรายได้เป็นตัวเลข 2 หลักติดต่อกัน แน่นอนว่า การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์เวชธานี ในฐานะของการเป็นโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญในการรักษาแบบองค์รวม ในโรคที่รักษายากๆ กลายเป็นตัวช่วยชั้นดีในการสร้างการยอมรับให้เกิดขึ้นในวงกว้าง
ทำให้แม้จะมีเพียงสาขาเดียว ไม่ได้เน้นการทำตลาดในรูปแบบของเชนโรงพยาบาล แต่คนไข้ทั้งจากในและนอกประเทศต่างก็มุ่งมาใช้บริการ
ผู้บริหารของเวชธานี บอกว่า การทำตลาดในธุรกิจนี้ การบอกต่อ ปากต่อปาก สำคัญสุด
ซึ่งเวชธานี จะเน้นให้ความสำคัญกับการทำผ่าน Touch point ต่างๆ เพราะมันจะทำให้คนไข้เกิดความประทับใจ
ถ้าเกิดรักษาหายด้วย มีความประทับใจด้วย ก็จะไปพูดปากต่อปาก โดยไม่ต้องทำอะไรมากมาย หรือมีการตลาดทั้งโปรโมชั่น การลดราคา เข้ามาช่วย
“โรงพยาบาลเรา เปิดมา 29 ปี ถือว่านานพอสมควร ถามว่านานหรือไม่ ในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ไปหาโรงพยาบาลที่มีอายุน้อยกว่า 10 ปี แทบจะหาไม่ได้
ส่วนใหญ่ 20 ปี 30 ปี ถ้าโรงพยาบาลใหญ่อย่างบํารุงราษฎร์ ก็เป็น 50 กว่าปี
มันเป็นธุรกิจที่ใช้เวลานานกว่าจะเกิดความน่าเชื่อถือ กว่าที่ผู้บริโภคจะเชื่อถือ กล้าที่จะเอาชีวิตมาฝากได้ มันใช้เวลา และต้องทำให้เห็นว่าทำได้ดี รักษาคนหาย
เราไม่สามารถออกโปรโมชั่น หรือลดราคา ให้คนมาทดลองได้ เป็นธุรกิจที่ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ สะสมในทุกๆ วัน จนคนมองว่า สามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้”
เช่นเดียวกับเรื่องของความยั่งยืนที่โรงพยาบาลเวชธานี นับเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีแนวคิดการทำธุรกิจ เน้นสร้างความยั่งยืนในระยะยาวมานานกว่า 10 ปี โดยไม่ได้มองตลาดในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ขยายให้กว้างขึ้นเป็นทั้งโลก ทำให้ตลาดลูกค้าชาวต่างชาติ ใกล้เคียงกับลูกค้าชาวไทย
นั่นแสดงให้เห็นว่าโรงพยาบาลนั้นมีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลจนเป็นที่ยอมรับ โดยล่าสุดได้การรับรองระดับโลกจาก Global Healthcare Accreditation for Medical Travel Services นับเป็นโรงพยาบาลแห่งที่ 5 ของโลก ที่ได้รับการรับรองคุณภาพดังกล่าว
ถือเป็นการตอกย้ำคุณภาพระดับสูงในการให้บริการแก่ผู้รับบริการทั่วโลก ที่เดินทางมารับการรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลเวชธานี และสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็น Medical Hub อย่างแท้จริง
ทั้งนี้เห็นได้จาก ภายหลังจากที่มีการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ในครึ่งหลังปี 2565 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ธุรกิจโรงพยาบาลเวชธานีมีทิศทางการฟื้นตัวที่ดี
โดยเฉพาะการกลับมาใช้บริการของลูกค้ากลุ่มหลักที่เป็นชาวต่างชาติ ได้แก่ กลุ่มตะวันออกกลาง และกลุ่ม CLMV (กัมพูชา, ลาว, พม่า, เวียดนาม) และแถบแอฟริกา
โดยจะเห็นได้ชัดในช่วงครึ่งแรกปี 2566 จำนวนลูกค้าชาวต่างชาติมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 30-50%
เชื่อว่าในปี 2567 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเติบโตดีมาก ทำให้กลุ่มนักนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Traveler) หลั่งไหลเข้ามาประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจของเวชธานีเช่นกัน
“สำหรับตลาด Medical Traveler เวชธานีค่อนข้างแข็งแกร่ง เพราะโฟกัสต่อเนื่องมา 15 ปีแล้ว ประกอบกับชื่อเสียงของเราที่มีความเฉพาะทางหลากหลายสาขา
ซึ่งสามารถรักษาคนไข้ที่เป็นโรคซับซ้อน โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อที่ถือเป็นจุดแข็งของเวชธานี
คนในตะวันออกกลางให้ฉายาเราว่า King of Bones ซึ่งการทำตลาดในต่างประเทศเริ่มต้นจากการดูแลคนไข้ที่มาหาให้ดีด้วยความเฉพาะทางที่เรามี และพยายามทำสิ่งนั้นให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนมีการบอกต่อ เพราะธุรกิจการแพทย์เป็นเรื่องปากต่อปาก เมื่อโรงพยาบาลรักษาคนไข้หายก็จะบอกต่อกันไปเรื่อยๆ
เราเพิ่งเปิดศูนย์มะเร็งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เน้นให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยแบบองค์รวมและครอบคลุมด้วยนวัตกรรมการรักษาที่กล้าพูดได้ว่า ตอนนี้เราเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่แรกที่ใช้นวัตกรรมนี้
นั่นคือ Cancer Vaccine และ Cancer Avatar ซึ่งได้ร่วมกันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมนี้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างแม่นยำและการรักษาอย่างตรงจุด”
ผู้บริหารของเวชธานี ยังบอกอีกว่า ปัจจุบันลูกค้ามองว่า เวชธานี เป็นโรงพยาบาลรุ่นใหม่ มีวิธีการรักษาที่ทันสมัย มีวิธีการดูแลรักษาเป็นองค์รวม
มีการทำงานของแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพมาดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม อาจจะทำได้ดีกว่าที่อื่น
โดยเวชธานี มีแนวคิดว่า จะดูแลคนไข้คนนี้แบบองค์รวมอย่างไร ให้ดีที่สุด จึงเลือกใช้วิธีการ Approach ในลักษณะเอาคนไข้เป็นศูนย์กลาง ที่น่าจะทำได้ดีกว่าที่อื่นในหลายจุด
เช่นเดียวกับเรื่องของการนำเสนอนวัตกรรม ที่เวชธานี ให้ความสำคัญค่อนข้างมาก เพราะมองว่านวัตกรรมกับการแพทย์ เป็นเรื่องสำคัญมาก
โดยต้องยอมรับว่า การแพทย์มันไปเร็วมาก ศักยภาพในการรักษาพยาบาลมันก็เปลี่ยนไป บางที เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ต้องตามให้ทัน
เขาเสริมอีกว่า การอบรมบุคคลกร ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล ให้มีความรู้ความเข้าใจและมีความเชี่ยวชาญในการดูแลโรคที่มันซับซ้อนขึ้น ต้องใช้เครื่องมือที่มีความทันสมัยมากขึ้น เป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า เพราะเครื่องมือต่างๆ มีเงิน ใช้เวลานานสุด 3 เดือน ก็ได้แล้ว แต่เทรนคนต้องใช้เวลา 5 ปี 10 ปี กว่าจะใช้งานได้
“เรื่องที่ยากกว่าคือเรื่องคน ที่จะทำอย่างไรให้เขาพร้อมจะเข้ามาเรียนรู้เรื่องยากๆ ให้เข้ามาทำเรื่องยากๆ ได้ รวมทั้งเอาคนเก่งๆ มาทำงานร่วมกันได้ มันเป็นเรื่องใหญ่
คนเก่ง ส่วนใหญ่ ชอบทะเลาะหรือขัดแย้งกัน ทำอย่างไร ให้เขาเข้ามาทำงานร่วมกันแบบไม่มีความขัดแย้ง มองเป้าหมายเดียวกัน ในการรักษาคนไข้ เป็นเรื่องยากสุด
ส่วนการใช้นวัตกรรมมาขับเคลื่อนแบรนด์เวชธานี เรามีหลายอย่าง อาทิ เรื่องการผ่าตัดกระดูกสันหลัง เราใช้เครื่อง O-arm Navigation เป็นโรงพยายาบาลแรกๆ ของประเทศไทย มีก่อนโรงเรียนแพทย์อีก
เราทำมาเป็น 10 ปี หรือวิธีการรักษาพยาบาลอะไรใหม่ๆ ที่ใช้แล้วได้ผลดี เราก็พร้อมจะลงทุนกับมัน”
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของโรงพยาบาลเวชธานี ยังคงมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นโรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางชั้นนำระดับตติยภูมิในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยล่าสุดมีแผนเตรียมเปิด “โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านสุขภาพจิต ภายใต้ชื่อ Bangkok Mental Health Hospital : BMHH” ตั้งอยู่ถนนติวานนท์
การเปิดโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวชนี้ จะใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างอย่างโดดเด่นจากโรงพยาบาลทั่วไป ทั้งเรื่องบริการ การออกแบบโรงพยาบาลโดยประสบการณ์ของทีมบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวช เพื่อให้เหมาะกับผู้รับบริการ
พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ตลอดจนเครื่องมือทางการแพทย์และยาใหม่ๆ มาช่วยเสริมกับความชำนาญของทีมแพทย์ที่เป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
จึงมั่นใจว่าจะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงที่สุด ซึ่งเราจะนำความโดดเด่นเหล่านี้มาสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นต่อกลุ่มเป้าหมาย
ขณะที่เทรนด์ด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิต (Health and wellness) เป็นเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ และโรงพยาบาลเฉพาะทางก็เป็นที่ต้องการของตลาด เพราะคนไข้ต้องการทางเลือกในการรักษาที่ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป
จากข้อมูลสถิติโลกพบว่า ผู้ป่วยด้านสุขภาพจิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยในประเทศไทยจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 2 เท่าในระยะ 6 ปี
ข้อมูลจากระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในปี 2565 มีผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับการรักษามากถึง 2.5 ล้านคน ทำให้ความต้องการบริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวชเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
กล่าวได้ว่า ปัจจุบันนี้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพจิตในคนไทยเองก็มีความเข้าใจดีมากขึ้น และความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตมากขึ้นเช่นกัน
โดยเฉพาะผู้ป่วยเอง หรือญาติผู้ป่วยกล้าไปพบแพทย์ด้านจิตเวชมากขึ้น เวชธานีมองเห็นเทรนด์ที่เกิดขึ้น ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงได้ทำการศึกษาอย่างจริงจัง ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น พร้อมนำองค์ความรู้ไปดูแลผู้ป่วย
แม้ว่าในแง่ของผลตอบแทนทางธุรกิจจะไม่ได้สูงมาก แต่การได้เข้าไปอยู่ในตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง ก็หวังว่าในอนาคตจะเชื่อมตลาดด้านสุขภาพจิตกับตลาดด้านสุขภาพทางกายเข้าด้วยกันในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง และเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้เรื่องสุขภาพจิตมากขึ้น
“ความคาดหวังของ BMHH คือ อยากเป็นโรงพยาบาลเอกชนด้านสุขภาพจิตชั้นนำที่ประสบความสำเร็จในภูมิภาคนี้ มีขีดความสามารถในการรักษาโรคทางสุขภาพจิต
แต่เราไม่ได้คาดหวังในเชิงธุรกิจมากนัก แค่รักษาให้ดี สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติให้เข้ากับสังคมได้ โดยตั้งเป้าหมายให้เป็นที่รู้จักในประเทศไทยภายใน 2 ปี
ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง เพราะเราโชคดีสามารถฟอร์มทีมได้เร็ว มีหมอที่มีชื่อเสียงมานำทีม และมีหมอจบเฉพาะทางมาจากต่างประเทศ หมอเก่งๆ เริ่มงานกับเรา ถือเป็นแนวโน้มที่ดี
และเมื่อถึงจุดหนึ่งจะไปเน้น Medical Traveler เช่นเดียวกัน ซึ่งเรื่องสุขภาพจิตในต่างประเทศเป็นเรื่องที่บูมมาก” ดร.ชาคริต กล่าวทิ้งท้าย