มิได้ห่างหายไปไหนไกลเลยสำหรับนักยุทธศาสตร์ตัวยงอย่าง นิวัตต์ จิตตาลาน อดีตซีอีโอ บมจ.บัตรกรุงไทย (เคทีซี) ด้วยว่า วันนี้มี โรงเรียนเพ็ญสมิทธ์ โรงเรียนที่ก่อตั้งมา 28 ปีเป็นความท้าทายชิ้นใหม่ หลังปั้นบัตรเครดิตเคทีซีจากยุคที่มีฐานบัตรเพียง 7 หมื่นใบและมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) สูงถึง 3,000 ล้านบาทให้กลายเป็นเบอร์ 1 ของตลาดบัตรเครดิตได้ในปี 2003
ในฐานะที่ปรึกษาของโรงเรียนเพ็ญสมิทธ์ นิวัตต์ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ ดร.พริ้มรส มารีประสิทธิ์ ผู้รับใบอนุญาตและผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้หญิงเก่งของทศวรรษนี้ ทายาท อาจารย์ อาจิณ มารีประสิทธิ์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนและทำงานใกล้กับคุณพ่อมายาวนานถึงสิบปี ทำให้เพ็ญสมิทธ์วันนี้มี ‘สองผสาน’ จากนักบริหารการศึกษาอย่างดร.พริ้มรสและนิวัตต์ นักยุทธศาสตร์และคุณพ่อที่ปั้นลูกชายเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานของโลก ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาที่ Rensselaer Polytechnic Institute (RPI) มลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา สถาบันการศึกษาระดับคุณภาพแห่งหนึ่งของโลก ซึ่ง ศิวะพร ทรรทรานนท์ อดีตประธานกรรมการบริษัททิสโก้ เคยเป็นศิษย์เก่าของที่นี่
‘เพ็ญสมิทธ์ ยุคใหม่’ มีแผนที่จะผลิตคนรุ่นใหม่ เพื่อรองรับทศวรรษต่อๆ ไปและเข้าสู่ตลาดแรงงานระดับภูมิภาคและระดับโลก มิใช่การผลิตคนในระยะสั้นและโฟกัสเฉพาะตลาดแรงงานในประเทศเท่านั้น ทำให้ในระหว่างนี้ เพ็ญสมิทธ์ Re-Strategy ตนเองแบบรอบด้าน นั่นคือ โดยเฉพาะ Productive Strategy เสริมแกร่งกับกระบวนการผลิต นั่นคือ
1) การส่งนักเรียนจำนวน 800 คน เพื่อให้เรียนต่อสถาบันอุดมศึกษาระดับคุณภาพให้ได้ ด้วยการจัดครูเพื่อสอนเสริมให้กับนักเรียนที่ต้องเรียนเพิ่ม เช่น ความถนัดทางด้านดนตรี ศิลปะ ฯลฯ ขณะเดียวกัน ก็ช่วยกันเจียระไนและค้นหาความถนัด ความต้องการของผู้เรียนว่าควรจะไปทางใดหรือต้องเสริมสร้างอะไรแล้วติวกันอย่างเข้มข้นหรือติวแบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดยให้ผู้ปกครองจ่ายเพิ่ม 300-400 บาทต่อชม.เท่านั้น
2) การสร้างนักเรียนรุ่นใหม่ เพื่อให้สามารถเรียนต่อภาคอินเตอร์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศไทยหรือมหาวิทยาลัยในต่างประเทศได้ โดยในหลักสูตร IEP (Intensive English Program) ทางโรงเรียนจะปรับเวลาเรียนในแต่ละคาบให้เหลือประมาณ 40-45 นาที เพื่อให้นักเรียนมีเวลาเรียนเสริม ปรับเวลาสอนภาษาอังกฤษวันละ 4 ชม. โดยเรียนกับอาจารย์ฝรั่งและมีอาจารย์ไทย เพื่อทำความเข้าใจเสริม ซึ่งอาจต้องใช้ครูไทยถึง 3-4 คนต่อห้องในช่วงแรก และโครงการ
เด็กเล็กช่วงปฐมวัย 2-6 ปี ด้วยหลักสูตร Early Years Program ซึ่งโรงเรียนกำลังรับสมัครอยู่ในขณะนี้เป็นหลักสูตรที่มุ่งสอนตามหลักการเรียนรู้สมัยใหม่หลายประการ นับแต่การเรียนรู้แบบ BBL (Brain-Based Learning) การพัฒนาศักยภาพของเด็กตามหลักการ Multiple Intelligence การส่งเสริมทักษะทาง STEM (อ่านล้อมกรอบ) การเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติทั้งไทย อังกฤษและจีน การเรียนรู้แบบ Montessori เพื่อกระตุ้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง และเน้นใช้อาจารย์ฝรั่งและจีนสอน จะมีอาจารย์คนไทยสอนเฉพาะภาษาไทย ขณะเดียวกัน ก็มีห้องเสริมทักษะ PLAYGROUND เพื่อฝึกการเรียนรู้, การเสริมสร้างจินตนาการและศิลปะ, พัฒนาการของเด็กทั้งกล้ามเนื้อมัดใหญ่/เล็ก, ความฉลาดทั้ง 6Q, STEM, BBL
3) การเปลี่ยนครูเป็นโค้ช เพื่อเน้นให้เกิดการเรียนการสอนแบบค้นคว้าของนักเรียนและเพื่อให้นักเรียนค้นพบตัวเองให้ได้ว่าต้องการที่จะเป็นอะไร ชอบอะไร ฉะนั้น โรงเรียนจึงต้องรู้จักธรรมชาติของเด็กและผู้ปกครองให้ได้ “ตรงนี้เราต้องฉลาดที่จะประยุกต์หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ และแยกเด็กกลุ่มต่างๆ ตามความถนัด” นิวัตต์กล่าว
ความท้าทายของสถาบันการศึกษาเอกชนวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย คือ การขยายห้องเรียนและการขยายสถานศึกษาของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นทำให้มีนักเรียนเหลือมาถึงภาคเอกชนน้อยมาก เพ็ญสมิทธ์หรือโรงเรียนคาทอลิกชื่อดังต่างๆ ก็มิใช่ข้อยกเว้นและแม้จะมีเงินอุดหนุนจากเครือข่ายคาทอลิก แต่ก็ยังขาดทุนอยู่ดี ทำให้โรงเรียนเหล่านี้ต่าง Re-Positioning ตนเองเป็นโรงเรียนสองภาษาหรือโรงเรียนภาคอินเตอร์ เพื่อความอยู่รอด
ส่วนเพ็ญสมิทธ์ที่เคยมีนักเรียนมากถึง 3,000 คนและปัจจุบันมีนักเรียนเพียง 800 คนนั้นถือเป็นโจทย์ที่ ‘หิน’ มากๆ กับผู้บริหารโรงเรียนที่ไม่คุ้นกับโลกธุรกิจ แต่สำหรับนิวัตต์ เขาเลือกการจัดวางโมเดลทางธุรกิจ (Business Model) ของโรงเรียนเสียใหม่เป็นเรื่องสำคัญ ตลอดจนการแยกแยะต้นทุน รายได้/รายจ่าย แต่ก็ไม่ใช่การตัดต้นทุนอย่างไร้เหตุผล, การทำความเข้าใจกับคน GEN Y ซึ่งเป็นคนรุ่นพ่อแม่ของเด็ก Gen Z ซึ่งเป็นนักเรียนของโรงเรียน, การจับมือกับพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์เพื่อต่อยอดพัฒนาหลักสูตรของโรงเรียน ฯลฯ
เพ็ญสมิทธ์ยุคใหม่ที่มีนิวัตต์ จิตตาลานเป็นที่ปรึกษาจึงเป็นสถาบันการศึกษายุคใหม่ที่แข็งแกร่งจากภายใน บน Business Model ที่แม่นยำอย่างไม่ต้องสงสัย