ดร.สง่า ดามาพงษ์ 'บริหารชีวิต ธุรกิจรุ่งเรือง'
05 Jan 2021

 

"บริหารงาน บริหารคนเก่งกาจ แต่มาพลาด ตรงบริหารชีวิตตนเอง"

ประโยคเปิดของบทสนทนากับ ดร.สง่า ดามาพงษ์ นักโภชนาการอิสระ 'วัยงาม' ที่ผู้มีโอกาสได้พบเจอจะคาดเดาอายุไม่ถูกเลย ขนาดที่ไปออกรายการเกมโชว์ Guess My Ageให้ทายอายุปรัศนีท่านนี้ว่า อายุเท่าไร ตอบกันหลายครั้งไม่ถูกกันเลย... มีทั้ง  52, 55, 56, 66 ปี แต่ที่ถูกต้อง คือ 70 ปี ดร.สง่าพูดชัดเจนว่า เกษียณมาครบสิบปีแล้ว แต่เหตุใดจึงยังดูอ่อนเยาว์เกินอายุเสียจริงๆ

เคล็ดลับที่อาจารย์นำมาแชร์ในรายการวันนั้นคือ 'โภชนาการ คือ ศาสตร์แห่งชีวิต' การจะปฏิบัติตนเพื่อมีสุขภาพและอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพก็มาจาก '3 อ. + สูตร 6:6:1 '

 '3 อ.' คือ อาหาร, ออกกำลังกาย, อารมณ์ 

ขณะที่ 'สูตร 6:6:1 ' คือ

  • อย่ากินน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
  • อย่ากินน้ำมันเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
  • อย่ากินเกลือเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน,

บทสนทนาเกี่ยวกับ 'ศาสตร์แห่งชีวิต' กับ ดร.สง่า ที่ได้ให้ข้อคิดกับนักธุรกิจ นักบริหารจึงเข้มข้นและน่าสนใจ โดยเฉพาะการบริหารธุรกิจในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและมีความผันผวน ทำให้โฟกัสของนักธุรกิจ นักบริหารจึงอยู่ที่การวางยุทธศาสตร์ กลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่รายได้ ผลกำไรและการชักธงรบในสนามการแข่งขัน ขณะที่ลืม 'บริหารชีวิต' ของตนเอง 

ข้อคิดที่ ดร.สง่า เปิดประเด็นก่อน นั่นคือ ความสำเร็จของนักธุรกิจไม่ได้วัดเพียงแค่กำไร-ขาดทุน แต่วัดกันที่ การนำพาตนเอง คนในครอบครัว และบุคลากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี

 

อาจารย์มองว่า ความสำเร็จของนักธุรกิจอยู่ที่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี แล้วจริงๆ ในทางปฏิบัติเป็นไปได้แค่ไหน

จริงๆ ต้องบอกว่า ปัจจัยสู่ความสำเร็จของนักธุรกิจมีมากมายหลายปัจจัย แต่ที่สำคัญคือ สุขภาวะดีของนักธุรกิจ  ผมมองว่า ความสำเร็จของนักธุรกิจไม่ได้วัดเพียงแค่กำไร-ขาดทุน แต่ต้องวัดกันที่การนำพาตนเอง คนในครอบครัวและบุคลากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี เราต้องมองในอีกมุมที่ว่า สุขภาพของนักธุรกิจนั้นสำคัญยิ่งกว่าเครื่องจักรราคาแพง ผลลัพธ์ของการทำธุรกิจ ไม่ได้วัดเพียงแค่ 'เงิน' และ 'ธุรกิจรอด' แต่ตัวเองต้อง 'รอด' ด้วย พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็ต้องบอกว่า ถ้าบริหารชีวิตได้ ธุรกิจก็รุ่งเรือง

 

ปัญหาของนักธุรกิจที่จะทำให้บริหารชีวิตกันไม่รอดมาจากอะไร

หลักๆ อยากให้ดูที่ปัญหาสุขภาพของนักธุรกิจก่อน มาจากปัญหาสุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพทางสังคมและสุขภาพทางปัญญา แต่ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมเสี่ยงของนักธุรกิจเอง อาทิ เครียดกับงาน,กินอาหารไม่ถูกหลัก,ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย, พักผ่อนหรือผ่อนคลายไม่เพียงพอ

นอกจากนี้ ก็ยังมีพฤติกรรมเสี่ยงของนักธุรกิจที่เกิดจาการกินอาหารด้วย อาทิ กินอาหารไม่ครบ 5 หมู่,ไม่กินอาหารมือเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด,กินอาหาร 'หวาน มัน เค็ม', กินเบรกบ่อยๆ, กินผักและผลไม้ไม่เพียงพอ และอีกข้อที่คงต้องหลีกเลี่ยงกันบ้าง นั่นคือ กินเลี้ยงสังสรรค์กันบ่อยๆ

 

การดูแลตนเองด้วยแนวคิด 'ดอกเบี้ยชีวิต' ของอาจารย์ได้ผลลัพธ์ที่ดีจริงหรือ

การสะสม 'ดอกเบี้ยชีวิต' นั้นเป็นการดูแลตนเอง เพื่อสร้างทุนสำรองให้กับชีวิตในยามสูงวัย สำหรับผมเองเริ่มดูแลสุขภาพตนเองตั้งแต่อายุ 30 เพราะผมบอกกับตัวเองตั้งแต่ตอนอายุย่างเข้าเลข 3 ว่า ถ้า 'นายสง่า ดามาพงษ์' อายุ 60 เขาจะต้องไม่แก่มาก ต้องไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานฯลฯ เพราะไม่อยากเป็นภาระให้ลูกหลาน เพราะถ้าหากเราเริ่มหันมาดูแลสุขภาพตอนอายุ 60 ปีอาจจะไม่ทันการณ์ก็ได้ จนปัจจุบันผมอายุ 70 ปีแล้ว ผมไม่มีโรคประจำตัวอะไรเลย ไม่ว่าจะเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ฯลฯ

โชคดีว่า ผมเป็นคนสุขภาพดี ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะเป็นนักโภชนาการ เราจึงมีความรู้ในการดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องการบริโภคอาหาร การออกกำลังกายที่เหมาะสม ตลอดจนการสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง เพื่อให้เราหันกลับดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและไม่เจ็บป่วย ผมเชื่อว่า คนทุกคนนั้นมีแผนที่ 2 ในชีวิตเสมอ เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ถูกนำออกมาใช้ หรือบางคนก็ยังไม่เคยวาดภาพตัวเอง เมื่อตอนที่เรามีอายุมากขึ้น ถ้าเราอยากให้ตัวเองเป็นอย่างไร ดังนั้น จึงควรเริ่มวางแผนดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ อย่ารอให้ตัวเองอายุเยอะแล้วค่อยดูแล

สำหรับผมได้คิดไว้แล้วว่า ตอนอายุ 60 ปี ผมจะมีสุขภาพและการใช้ชีวิตแบบไหน เมื่อมีแรงบันดาลใจและเป้าหมายผมก็ทำตามที่ได้ปักหมุดเอาไว้ ได้แก่ การสลัดความเครียด นอนหลับพักผ่อนวันละ 7 ชั่วโมง หาเวลาว่างอยู่กับเพื่อนๆ บ้าง ไม่ดื่มสุรา - ไม่สูบบุหรี่  ออกกำลังกาย 4 วัน/สัปดาห์ด้วยการเดินเร็วสลับกับจ๊อกกิ้ง รับประทานอาหารไทยๆ ประเภทแกง, ย่าง, อบ, นึ่ง หลีกเลี่ยงอาหารทอด

'ดอกเบี้ยชีวิต' ที่ผมสะสมมาตั้งแต่อายุ 30 พอถึงวันนี้ที่มีอายุ 70 แล้ว ผมก็สามารถดึงดอกเบี้ยชีวิตของตัวเองออกมาใช้ได้ ทำให้ไม่เจ็บป่วย ไม่มีโรคประจำตัว ไม่ต้องกินยา

ทั้งนี้ การที่นักธุรกิจจะบริหารธุรกิจได้ก็ต้องบริหารชีวิตของตนเอง ซึ่งนักธุรกิจจะต้องมี 3 Smart ดังนี้คือ Strong - Slim - Skill (มีสุขภาพแข็งแรง - มีรูปร่างสลิม สมส่วน ไม่อ้วน -  มีทักษะ)

ทว่า ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือ แม้นักธุรกิจทุกคนจะตระหนักดีว่า เงินซื้อ 'ชีวิต' ไม่ได้ แต่ทำไมนักธุรกิจส่วนมากจึงยังให้ความสำคัญกับ 'การบริหารงาน' มากกว่า'การบริหารชีวิต นักธุรกิจมักจะทุ่มเทและสนุกกับการบริหารงาน บริหารเงิน บริหารคนได้ แต่ลืมบริหารชีวิตตนเอง จนทำกำไรให้องค์กรได้มากมาย แต่สุขภาพของตนเองทรุดโทรม  เจ็บป่วยบ่อย แล้วเมื่ออายุ 60 ปีต้องป่วยนอนติดเตียง เงินที่หามาได้ทั้งชีวิตก็มิอาจช่วยชีวิตได้

 

แล้วจะทำอย่างไรจึงจะสามารถบริหารชีวิตไปพร้อมๆ กับการบริหารงาน

คำว่า'บริหารชีวิต' หมายถึง การจัดระเบียบชีวิต หรือตารางชีวิตในแต่ละวันให้มีเวลาดูแลสุขภาพตนเอง ควบคู่ไปกับการใช้เวลาในการทำงาน จนสามารถมีเวลาออกกำลังกาย มีเวลาพักผ่อน มีเวลาใส่ใจดูแลเรื่องอาหารและโภชนาการของตนเองได้

สรุปก็คือจะทำอย่างไรเพื่อให้การบริหารงานสมดุลกับการบริหารชีวิตเพื่อตนเองจะได้ประโยชน์ทั้งสองอย่าง

ผมว่า เรามาเริ่มเตรียมตัวเตรียมใจในการบริหารชีวิตใหม่ ในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้กันเลยดีไหม ปกติเมื่อถึงปลายปีทุกองค์กรก็จะมีการประเมินการดำเนินกิจการขององค์กรว่า ขาดทุน-กำไรอย่างไร มาปีนี้คุณก็ต้องประเมินสุขภาพตอนเองในรอบปีที่ผ่านมาควบคู่กันไปด้วย ด้วยการถามตัวเองว่า

เมื่อปีที่ผ่านมาคุณมีสุขภาวะดีหรือย่ำแย่ ถ้าแย่คุณอยากจะเปลี่ยนชีวิตใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิมหรือจะแย่ลงกว่าเดิม ถ้าอยากเปลี่ยนคุณต้องกำหนดเป้าหมายชีวิตให้ได้แล้วเปลี่ยนชีวิตเพื่อเดินทางสู่เป้าหมายนั้นให้ได้

ในขณะที่คุณกำลังเดินหาซื้อของขวัญปีใหม่ให้กับคนที่คุณรักและเคารพจนได้ครบทุกคนแล้วจากนี้ก็ลองทบทวนดูว่า คุณกำลังลืมหาของขวัญให้กับคนที่คุณรักมากที่สุดคนหนึ่งหรือเปล่า คนๆ นั้นคือตัวคุณเอง!!!

ถามตัวเองต่อเลยว่า ปีนี้ของขวัญที่คุณจะให้ตัวเองคืออะไร ของขวัญที่ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นวัตถุ แก้วแหวนเงิน ทองใดๆ แต่ของขวัญที่มีคุณค่า และไม่สามารถตีค่าออกมาเป็นมูลค่าหรือตัวเงินได้คือ การตั้งเป้าหมายให้ชีวิตในปี 2564 เป็นปีที่ตัวเองจะต้องมีสุขภาพดีที่สุด เพื่อให้มีศักยภาพในการบริหารงานที่เฉียบคมต่อไป

การตั้งเป้าหมายให้ชีวิตตัวคุณเองมีสุขภาวะที่ดีในปีใหม่นี้นั้น คุณต้องเริ่มจากการทบทวนและประเมินภาวะสุขภาพในรอบปีที่ผ่านมาว่า คุณป่วยกี่ครั้ง น้ำตาลและไขมันในเลือดสูงขึ้นหรือไม่ ความดันโลหิตปกติหรือสูงขึ้น กินยาเป็นประจำเลยหรือเปล่า น้ำหนักตัวและรอบเอวเพิ่มขึ้นหรือเท่าเดิม ถ้าประเมินออกมาในเชิงลบฯลฯ คุณต้องค้นหาสาเหตุว่า พฤติกรรมสุขภาพใดเอ่ยที่ทำให้คุณมีปัญหาสุขภาพเลวร้ายเช่นนั้น

 

มีเช็คลิสต์เกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงที่ต้องโยนทิ้งหรือไม่

เช็กลิสต์เกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงในรอบปีที่ผ่านมา อาทิ คุณไม่เคยออกกำลังกายเลย หรือออกแต่น้อยมากใช่หรือไม่ คุณทุ่มเทชีวิตให้กับงานเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน และเกียรติยศอย่างหามรุ่งหามค่ำ จนมีเวลาพักผ่อนน้อยมากใช่หรือไม่ คุณไม่เคยที่จะใส่ใจกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการเพียงแต่กินให้ดับความอยากและกิเลสแห่งความอร่อยเท่านั้นจริงหรือไม่ และคุณหมกมุ่นอยู่ท่ามกลางความเครียดความกังวลตลอดเวลา โดยขาดทักษะของการสลัดความเครียดหรือเปล่า คุณยังสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อยู่ใช่หรือไม่ และพักผ่อนนอนหลับไม่ถึง 6 ชั่วโมงเป็นประจำหรือเปล่า

ทั้งหมดคือคำถามที่คุณต้องหาคำตอบด้วยตัวคุณเอง เพราะทั้งหมดคือสัญญาณที่จะนำพาชีวิตของคุณสู่ความเลวร้าย หรือดีขึ้น ขึ้นอยู่กับคำตอบของคุณจะเป็นบวกหรือลบ ถ้าส่วนมากเป็นลบแล้วคุณนิ่งเฉย ไม่ตระหนัก ไม่รับรู้ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ปัญหาดังกล่าวก็จะวนเวียนเหมือนปีที่ผ่านมา มิหนำซ้ำอาจเลวร้ายมากขึ้นในปีใหม่ที่จะมาถึง และจะเกิดขึ้นแบบนี้ทุกปี กลับกลายเป็นการสะสมปัญหาชีวิตและมีความเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ

แต่ถ้าคุณฉลาด พอใกล้ปีใหม่คุณต้องหยุดคิดเพื่อวางแผนชีวิตใหม่ หันมาใส่ใจในการบริหารชีวิตให้ก้าวไปสู่เส้นทางชีวิตที่ดีกว่า การวางแผนชีวิตด้านสุขภาพเหมือนกับการวางแผนงาน คือ ต้องกำหนด 'เป้าหมาย' ที่เราจะไปให้ถึง แล้วต้องมุ่งมั่นให้เกิดการ ‘เปลี่ยนแปลง’ ในการดำเนินชีวิตประจำวันเสียใหม่

จงจำไว้ว่า จะไม่มีอะไรดีขึ้นถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงของคุณจะเปลี่ยนโดยไร้ทิศทาง และเป้าหมายไม่ได้ คุณต้องกำหนดเป้าหมายที่คุณจะไปให้ถึงให้ชัดเจน แล้วใช้ความมุ่งมั่นและความเพียรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์นานาให้เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ให้ได้

การไม่เจ็บป่วยหรือเจ็บป่วยให้น้อยที่สุด การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ภาวะความดันโลหิตสูงและน้ำหนัก/รอบเอวให้เป็นปกติภายในระยะเวลา12เดือนหรือตลอดสิ้นปี 2564 คือ ตัวอย่างการวางเป้าหมายชีวิตด้านสุขภาวะซึ่งมีน้อยคนที่จะกำหนด เมื่อมีเป้าหมายแล้วเราต้องกำหนดกลวิธีหรือแนวทางที่เราจะต้องใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเดินทางสู่เป้าหมาย แนวทางดังกล่าวคงหนีไม่พ้นเรื่องพฤติกรรมสุขภาพ

 

 

ความท้าทายที่จะต้องปฏิวัติตนเองและก้าวข้ามให้ได้คืออะไร

การที่จะมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่เปลี่ยนทุกอย่างก็จะอยู่เหมือนเดิม คุณต้องถามตัวเองว่า คุณอาจหาญและกล้าพอที่จะเปลี่ยนตัวเองหรือไม่ ถ้าคุณไม่กล้าและเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญกับชีวิตคงต้องพูดได้คำเดียว ‘จบ’ แต่ถ้าคุณตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงให้เดินไปสู่เป้าหมายชีวิตด้านสุขภาวะได้ คือ การปฏิรูปชีวิตคุณครั้งใหญ่แล้วละก็จะเกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดการขับเคลื่อนในชีวิตคุณ

ปกติคุณนอนห้าทุ่มตื่นหกโมงเช้า แล้วคุณเอามาเป็นข้ออ้างว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย แต่ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ คุณต้องปรับตัวให้นอนเร็วขึ้นสักครึ่งชั่วโมง โดยนอนสี่ทุ่มครึ่งแล้วไปตื่นตีห้าครึ่ง ช่วงตีห้าครึ่งถึงหกโมงจงเอาเวลานั้นออกมายืนแกว่งแขน เดินหรือจ็อกกิ้งหน้าบ้าน คุณต้องกล้าพอที่จะลดละอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวานจัด มันจัดและเค็มจัด โดยยึดปฏิบัติตามรหัสสุขภาพ 6:6:1 กล่าวคือ ในแต่ละวันต้องกินน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา กินน้ำมันไม่เกิน 6 ช้อนชา และกินเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา

คุณต้องปฏิวัติตู้เย็นที่บ้านโดยกวาดอาหารที่ทำให้คุณอ้วนออก แล้วเอาผลไม้รสหวานน้อยเข้ามาแทน คุณต้องสะกดใจตัวเองให้ได้เมื่อเจออาหารจานโปรดและอร่อย คุณต้องเปลี่ยนมากินอาหารมื้อเช้าให้ในปริมาณมากกว่ามื้ออื่น มื้อกลางวันกินพอดีๆ ส่วนมื้อเย็นกินให้น้อย และคุณต้องปรับเวลากินอาหารมื้อเย็นให้ห่างจากเวลาเข้านอน 3 - 4 ชั่วโมง

นี่คือตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลง ที่หลายคนรู้ แต่ทำไม่ได้ ในที่สุด คุณก็ไม่สามารถเดินทางสู่เป้าหมายสุขภาวะในชีวิตได้ แต่ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นในตัวเองว่า คุณต้องทำให้ได้ ต้องเปลี่ยนตัวเองให้ได้และต้องไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ นี่ไม่ใช่เรื่องยากที่คุณจะทำไม่ได้ เพียงแต่คุณไม่ได้วางเป้าหมายชีวิตและกลัวการเปลี่ยนแปลงต่างหาก

จงไม่ลืมว่า ที่คุณทำไม่ได้ เพราะคุณไม่ได้ทำจริง

ผมขอให้ปีใหม่ของคุณที่กำลังจะมาถึงนี้ เป็น 'ปีแห่งการเปลี่ยนชีวิต' ด้วยการหันมาใส่ใจลงมือการบริหารจัดการชีวิต ควบคู่ไปกับการบริหารธุรกิจ เพื่อถึงเป้าหมายของการมีกำไรชีวิตไปพร้อมๆ กับการบริหารงานที่มีศักยภาพเพื่อสร้างกำไรทางการเงินให้กับองค์กรของคุณ.

 

[อ่าน 18,948]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คุยกับ 2 ผู้บริหารแห่ง “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” กับการรุกขยายพอร์ตฯ พร้อมเปิด 8 แบรนด์ใหม่
สรุปความสำเร็จของ ‘แมคโดนัลด์’ ผ่านมุมมองของ ‘คุณกิตติวรรณ อนุเวชสกุล’
ทำความรู้จัก “ปิ่นเพชร โกลบอล” ผู้อยู่เบื้องหลัง “ฮากุ” แบรนด์ทิชชู่เปียกของคนไทย
ดิษทัต ปันยารชุน วางรากฐาน OR เตรียมส่งไม้ต่อให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
วีรพล สวรรค์พิทักษ์ ยุทธศาสตร์ Eminent Air สู่ทศวรรษที่ 5
บทพิสูจน์ MAZDA เพื่อก้าวสู่ การเติบโตที่ยั่งยืน
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved