ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ YOUNGER & BEAUTY MORE
17 May 2021

 

Younger & Beauty More คือ Need & Passion ของผู้คนที่เกิดขึ้นทุกยุคและเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลาในแง่ของรายละเอียด และเทรนด์ของการนิยาม 'ความหนุ่มสาว' นิยาม 'ความสวยหล่อ' ในแต่ละยุคที่แตกต่างกันไป และสิ่งที่เกิดทุกยุคทุกสมัยก็คือ ความผิดพลาดจากการใช้บริการ ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ ทั้งความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตกเป็นเหยื่อการตลาด ปัญหาจริยธรรมทางธุรกิจ ฯลฯ เหล่านี้คือสิ่งที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ ได้พยายามให้ความรู้และทำความเข้าใจกับผู้บริโภคมานานนับทศวรรษ โดยเฉพาะกับคนไข้เคสศัลยกรรมความงาม ในฐานะ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งอาเซียน และอดีตนายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย เจ้าของคลินิกธีรพรคลินิก

           

Word of Mouth กับหมอไทย

‘ธีรพรคลินิก' เป็นคลินิกทางการแพทย์ที่อยู่มานานถึง 4 ทศวรรษ และไม่ได้ทำการตลาดใดๆ มาก่อน นอกจากมี Word of Mouth อันเป็นการตลาดแบบธรรมชาติที่คนไข้บอกต่อๆ กันมานาน และทำให้คลินิกของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ ที่มีแพทย์เป็นเจ้าของ และดำเนินการโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการสามารถดำรงอยู่ได้ 

"เดิมวงการแพทย์เป็นตลาดวิชาชีพ ทำการตลาดไม่ได้ และไม่มีใครทำ วิธีคิดของแพทย์คือ ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทำการตลาด เดี๋ยวคนไข้ก็บอกกันปากต่อปาก (Word of Mouth) เอง แต่ในช่วง 4-5 ปีมานี้ที่มีนักธุรกิจเห็นโอกาสทางการตลาดที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็เข้ามาลงทุนใช้กลยุทธ์การตลาดเต็มที่ เพราะมีวิธีคิดว่าลงทุนเท่านี้จะคืนทุนเมื่อไร ดังนั้นในตลาดนี้วงการแพทย์จึงถูกปั่นไปมาก สำหรับเราก็เพิ่งมาทำประชาสัมพัฯธ์บนออนไลน์และโซเชียลเน็ตเวิร์คเมื่อไม่นานนี้เอง แต่เป็นคอนเทนท์แนว Academic Social เพื่อให้ความรู้เชิงวิชาการกับผู้บริโภค"

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยความชำนาญที่โดดเด่นของ ธีรพรคลินิก และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.ชลธิศ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันมานานนับทศวรรษคือ การทำตาสองชั้นที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยที่ไม่ต้องกรีดตาให้เป็นแผลยาว แต่ใช้วิธีล็อกจุดบริเวณเปลือกตาเพียง 2 จุด แทนการกรีดตา จึงทำให้ไม่ต้องวางยาสลบ ทำให้มีรอยแผลขนาดเล็กขนาดที่ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อเย็บแผล จึงลดอาการบวมลงไปได้มาก ผ่าตัดเสร็จก็ออกจากคลินิกได้สบายๆ และเป็นเทคนิคที่ประทศไทยคิดค้นได้เป็นประทศแรกในโลก และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ระดับนานาชาติ

“กว่า 60 ปีแล้วที่เราใช้เทคนิคทางวิชาการของฝรั่ง ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าไม่เหมาะกับคนในเอเชีย เพราะผิวหนังของคนเอเชียมีความตึงและหย่อนคล้อยเป็นบางส่วน ไม่ได้หย่อนคล้อยมากเหมือนคนยุโรป ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องผ่าตัดแผลยาวๆ จากการพัฒนาและคิดค้น ทำให้พบกับเทคนิคการล็อคเฉพาะจุดใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่คิดค้นโดยคนไทย เพื่อทำให้ประสิทธิภาพของการยกกระชับใบหน้าอยู่ได้นานมากที่สุด ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุและสภาพผิวของคนแต่ละคนด้วย”

 

         

  

Face Lock  

ปัจจุบันเทคโนโลยีการยกกระชับใบหน้ามีหลายแบบ โดยการผ่าตัดเล็กด้วยเทคนิค Face Lock เที่กำลังได้รับความนิยมมากทั้งลูกค้าไทยและแถบอาเซียน ซึ่งยอมรับถึงคุณภาพในการใช้บริการในคลินิกศัลยกรรมในเมืองไทย  

“ในปัจจุบันการยกกระชับใบหน้า เป็นประเภทของการศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมสูงสุด และมีแนวโน้มที่เติบโตดีมาก เพราะความรักสวยรักงามของคนไทย ซึ่งปัจจุบันการตัดสินใจทำศัลยกรรมเป็นที่แพร่หลายไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้มีกำลังซื้อเท่านั้น แต่ยังได้รับความนิยมในทุกกลุ่มที่ต้องการมีบุคลิกภาพที่สร้างความมั่นใจให้กับตนเอง”

 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.ชลธิศ แนะนำว่า "อายุที่เหมาะสมในการเข้ามาใช้บริการคือ 45 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นอายุเฉลี่ยของคนไทยที่มีความหย่อนคล้อยของใบหน้าอย่างชัดเจน และเป็นช่วงที่ยังมีคอลลาเจนใต้ผิวหนังที่ทำให้ผลของการยกกระชับใบหน้าอยู่ได้นานกว่าผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยเฉลี่ยแล้วการศัลยกรรมใบหน้าด้วยเทคนิค Face Lock จะคงประสิทธิภาพที่ประมาณ 2-5 ปี ขึ้นอยู่กับสุขภาพของคนไข้"

Face Lock เป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.ชลทิศ ได้ศึกษามาตลอด 40 ปี ซึ่งก่อนหน้าได้มีการถ่ายทอดความรู้ให้กับแพทย์ในสถาบันการศึกษาต่างๆ ไปบ้างแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เทคนิค Face Lock จะได้รับการสงวนไว้สำหรับแพทย์ไทยที่อยู่ในสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งอาเซียนเท่านั้น เนื่องจากทางสมาคมมุ่งมั่นในการให้ความรู้ใหม่ๆ กับสมาชิกเพื่อพัฒนาความก้าวหน้าของแพทย์ไทยภายใต้จรรยาบรรณที่ถูกต้อง

 

 

สำหรับเทคนิคการทำศัลยกรรมแบบ Face Lock ถือเป็นศัลยกรรมยกกระชับใบหน้าระดับ Next Generation  ด้วยการทำงานของ Lock System ที่เลือกล็อกได้ 7 ตำแหน่ง นั่นคือ

1. ล็อคตา (Eye-Lock) การผ่าตัดศัลยกรรมตาสองชั้น โดยไม่ตัดหนังตาทิ้ง ช่วยแก้ทุกสภาพปัญหาของชั้นตา ปรับให้เป็นชั้นตาสองชั้นอย่างเป็นธรรมชาติ  

2. ล็อคคิ้ว (Brow- Lock) การผ่าตัดแก้ปัญหาผู้ที่มีปัญหาคิ้วตก จะช่วยล็อคช่วงคิ้วให้สมมาตรกับบริเวณดวงตามากขึ้น ทำให้ใบหน้าบริเวณช่วงบนดูสดใส ไม่ดูมีอายุ ไม่ดูอ่อนเพลีย ทั้งนี้ การผ่าตัดล็อคคิ้วทำได้ทั้งล็อคเฉพาะจุด และล็อคยาวขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของแต่ละคน

3. ล็อคหางตา (Crowfeet- Lock) การผ่าตัดล็อคหางตาเฉพาะจุด ช่วยล็อคหางตาให้เข้ากับองค์ประกอบโดยรวมของใบหน้า แก้ปัญหารอยตีนกา, ปลายหางตาตก ทำให้ใบหน้าตึงกระชับ ไม่มีริ้วรอย

4. ล็อคขมับ (Upper Face- Lock) การผ่าตัดล็อคใบหน้าช่วงบนบริเวณขมับ เพื่อทำให้ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก, คิ้ว, หางตา, ขมับหายไป ทำให้ใบหน้าช่วงบนดูอ่อนเยาว์, ตึงกระชับ

5. ล็อคใบหน้าช่วงล่าง (Lower Face- Lock or Cheek-Lock) การผ่าตัดล็อคใบหน้าช่วงล่าง แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณช่วงแก้ม ร่องแก้ม ร่องน้ำหมากที่เห็นชัด ช่วยให้ใบหน้าช่วงล่างนั้นเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ และเข้ารูปมากขึ้น

6. ล็อคใบหน้าช่วงบน (Longe Face- Lock) การผ่าตัดล็อคใบหน้าแบบยาวทั้งช่วงบนและช่วงล่างเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุมาก, มีปัญหาความหย่อนคล้อย ซึ่งจะทำให้สามารถย้อนวัยให้ใบหน้ากลับไปดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง

7. ล็อคเหนียงคอ (Turkey Neck-Lock) เนื่องจากผู้ที่มีอายุเยอะมัdจะมีความหย่อนคล้อยบริเวณคอ ทำให้คอพับเป็นชั้นส่งผลให้ใบหน้าดูใหญ่ การล็อคบริเวณนี้จะช่วยให้ผิวหนังตึงกระชับ และใบหน้าเข้ารูปอย่างชัดg0o

 

 

'ดั้งโด่ง' จากไขมันตัวเอง

นอกจากการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนอย่างที่เราเคยทราบกันนั้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.ชลทิศ กล่าวเสริมว่า

"การเสริมจมูกยังมีเทคนิคการเสริมจมูกด้วยเทคนิกซิลิโคนหุ้มด้วยไขมันตนเอง ซึ่งเทคนิคนี้เป็นประโยชน์สูงสุดกับผู้ที่มีเนื้อจมูกค่อนข้างน้อย เพราะนอกจากจะได้เพิ่มความอิ่มให้จมูกแล้วยังได้สันจมูกที่โด่งขึ้น ใบหน้าดูมีมิติ ทรงจมูกดูสวยงามเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นสันแข็งเห็นซิลิโคนชัดเจน รวมถึงการใช้ไขมันในการแก้ปัญหาที่เกิดจากการทำศัลยกรรมจมูกด้วยซิลิโคนแล้วเนื้อจมูกบาง จนไม่สามารถทำศัลยกรรมเสริมจมูกได้อีก สามารถนำเทคนิคการเติมไขมันตนเองเข้าไปแทนที่ซิลิโคนเพื่อเป็นการเติม และฟื้นฟูเนื้อเยื่อบริเวณจมูกให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งเพราะตัวไขมันจะช่วยทำให้เนื้อจมูกที่บางลงดูเต็มขึ้น ที่สำคัญ ปลอดภัยไร้ปัญหาซิลิโคนเบี้ยวเอียง และปลายจมูกทะลุ

 

ทั้งนี้ การใช้ไขมันจากร่างกายของคนไข้เองนั้น แพทย์จะนำเอาไขมันที่ได้มาผ่านกระบวนการคัดแยกสเต็มเซลล์ เพื่อใช้เสริมจมูกให้ได้รูปทรงโด่งขึ้นอย่างปลอดภัย เป็นเทคนิคการเสริมจมูกที่ทำให้ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาปลายจมูกเชิด, เนื้อปลายจมูกน้อย,ปลายจมูกสั้น ต้องการเสริมจมูกให้โด่ง บิด โยกได้ ดูเป็นธรรมชาติ ทรงสวยดูไม่แข็งกระด้าง ที่สำคัญ เทคนิคนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่เคยทำจมูกจากที่อื่นแล้วเกิดปัญหาอีกด้วย เนื่องจากไขมันจะช่วยป้องกันปัญหาเนื้อจมูกบาง หรือปลายจมูกทะลุ เนื่องจากไขมันจะช่วยป้องกันการทะลุของซิลิโคนที่ปลายจมูก อีกทั้งยังช่วยรักษาเนื้อเยื่อภายในจมูกให้สามารถฟื้นฟูกลับมาดีใกล้เคียงปกติได้"

             

ศัลยกรรมไทยไม่แพ้ใคร

จากการที่คนไทยแห่แหนกันไปทำศัลยกรรมกันที่เกาหลีมานานและทำเป็นธุรกิจเปิดเผย ที่สวยกลับมาก็มี ทีมีปัญหาอักเสบ จมูกพัง หน้าอกเน่าก็ไม่น้อย แต่แล้วที่สุดก็ต้องมาพึ่งบริการของแพทย์ไทยให้แก้ปัญหาให้ ซึ่งก็ถือเป็นหนึ่งในภาคกิจหลักของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.ชลทิศ ในฐานะ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งอาเซียน และ อดีตนายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย ที่ออกมาให้ความรู้ เสนอความคิดเห็น และให้คำแนะนำผ่านสื่อมวลชนอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกิดซ้ำซากมาหลายปี

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.ชลทิศ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ศัลยกรรมบ้านเราคุณภาพดีและมีราคาถูก ต่างชาติก็มาทำกันเยอะมากในหลายๆ โรงพยาบาล โดยเฉพาะการทำศัลยกรรมตา, จมูก, หน้าอก, แปลงเพศ ฯลฯ ที่สำคัญ แพทย์ไทยหลายๆ คนเก่งมีความสามารถเป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ สิ่งที่ผมอยากจะย้ำให้ทราบก็คือ การเรียนเพื่อทำศัลยกรรมของไทยแตกต่างกว่าที่อื่นตรงที่ไม่ใช่เรียนแพทย์ แล้วจะมาเป็นศัลยแพทย์ได้ แต่ต้องเรียนเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้นๆ ก่อนจึงจะมาทำศัลยกรรมได้ เช่น ศัลยแพทย์ไทยซึ่งทำศัลยกรรมบริเวณใบหน้าจะต้องมีพื้นฐานความรู้ทางด้านการแพทย์ทางด้าน 'หู - คอ - จมูก - ปาก' ก่อนแตกแขนงเป็นแพทย์พิเศษเฉพาะทาง เช่น เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านตา, จมูก, ปาก, เส้นผม, ฟัน, หน้าอก ฯลฯ

ยกตัวอย่าง คนที่จะมาทำจมูไม่ใช่แค่ใส่ซิลิโคนแล้วจบ ในส่วนของคนไข้นอกเหนือจากปัญหาโรคประจำตัวและปัญหาสุขภาพ คนไข้เองก็ยังมีพื้นฐานปัญหาส่วนตัวแตกต่างกัน เช่น จมูกคด จมูกหัก รูจมูกกับผนังกั้นจมูกคด ฯลฯ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะใช้แพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญผ่าตัด

ดังนั้น จึงแน่นอนว่า ก่อนที่แพทย์จะเข้ามาทำงานศัลยกรรมได้จึงต้องใช้ระยะเวลาเรียนนานหลายปี ที่สำคัญ ใช่ว่าเรียนเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้วจะจับงานศัลยกรรมได้เลย

ปัจจุบันการผ่าตัดจะน้อยลง เพราะวิธีคิด วัฒนธรรม และกระแสที่เปลี่ยนแปลงไป โดยส่วนตัวก็คิดว่า การพัฒนาคุณภาพของวงการศัลยกรรมในประเทศไทยมีความแตกต่าง โดยเราจะมีผู้ชำนาญการ (Specialist) ในแต่ละสาขา และต่อยอดมาเป็นศัลยกรรมเฉพาะจุด เฉพาะทาง และต่อยอดมาเป็นศัลยกรรมตกแต่ง เช่น หมอตาก็มาทำตา หมอจมูกก็มาทำจมูก หมอฟันก็มาทำกระดูกขากรรไกร จัดฟัน ตอนนี้ในวงการได้ถูกยกระดับมาอีกชั้นแล้ว"

"ศัลยกรรมเป็นงานฝีมือแค่เรียนรู้อย่างเดียวพอ ต้องหมั่นฝึกฝีมือกว่ามือจะนิ่ง ศัลยแพทย์ทุกคนเรียนพื้นฐานมาเหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ การสร้างสรรค์ เพราะการทำศัลยกรรมเสมือนการสร้างสรรค์งานประติกรรม ศัลยกรรมเป็นงานศิลป์ ดังนั้น 'ผลงาน' กับ 'ประสบการณ์' จึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่คนไข้ต้องคำนึงถึงอย่างมาก"

 

นี่คือ ตัวเนื้องานทางด้านศัลยกรรมความงามที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.ชลทิศ กล่าวย้ำมาตลอด ทำสวยเมืองนอกเสี่ยงมั้ย การทำศัลยกรรมที่ต้องเสียค่าเดินทางไปกับเอเย่นต์เพื่อทำสวย เสริมหล่อที่เกาหลี จนกลายเป็นกระแสนั้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.ชลทิศ ให้ความเห็นและข้อชี้แนะว่า

"ความสามารถ, ทักษะ และเทคนิคการผ่าตัดของแพทย์ในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันไป แต่ยิ่งกว่านั้น เราต้องทำความเข้าใจด้วยว่า มีตัวแปรอีกหลายประการ ที่จะทำใหเการทำศัลยกรรมนั้นไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ อีกทั้งอาจก่อปัญหาในภายหลังได้ด้วย นั่นคือ ตัวแปรทางด้านลักษณะรูปร่างหน้าตาของคนแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน

 

 

แม้จะเป็นคนเอเชียเหมือนกันก็ตาม ใน 'ความเหมือน' มี 'ความต่าง' คนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไทย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนามจะมีปัญหาเรื่องจมูก เช่น ปัญหาดั้งหัก ดั้งแอ่น ปลายจมูกบาน อย่างที่เรียกกันว่า 'ดั้งแหมบ' ซึ่งการทำจมูกเมื่อ10-20 ปีก่อนทำศัลยกรรมเพื่อลบปมด้อย แต่ตอนนี้ ทำเพื่อความสวยงาม เพื่อประกอบอาชีพ

เปรียบง่ายๆ ระหว่างอาชีพศัลยแพทย์กับอาชีพเชฟ เชฟเกาหลีก็ย่อมจะทำอาหารเกาหลีได้ดีกว่าอาหารไทย ขณะที่เชฟไทยก็ย่อมทำอาหารไทยได้ดีกว่าอาหารเกาหลี สำหรับบางคนอาจจะมองว่า เชฟเกาหลีทำยำได้รสชาติแซ่บ แต่นั่นจะเป็นสิ่งที่คนไข้ได้พบเห็นในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากระยะยาวไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ เราจะรู้ว่า ทำดี ทำอร่อยก็ต่อเมื่อเราจะต้องมีประสบการณ์และได้ทดลองกันมาก่อน หรือชิมกันมาก่อน หรือเห็นตัวอย่างกันมาก่อน แต่จริงๆ แล้วได้เห็นตัวอย่างกันจริงๆ หรือเปล่า แล้วเคสที่ทำแล้วดีกับที่ทำแล้วเสียเป็นอย่างไร ควรต้องเอามาโชว์ให้หมด

ฉะนั้น ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นแต่แรกเลยก็คือ การไปหา 'ใครก็ไม่รู้' ที่ไม่รู้จัก ซึ่งเป็น 'นายหน้า' ที่ไม่มีข้อมูลอะไรเลย แค่พูดภาษาได้ แล้วก็ทำตัวเป็นล่าม และทำหน้าที่แค่อำนวยความสะดวก ซึ่งคนพวกนี้จะไม่เข้าใจข้อมูลทางวิชาการหรอกคิดกันง่ายๆว่า ขนาดคนไทยสื่อสารกันเองบางครั้ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจเลย แล้วนี่คุยกับหมอเกาหลี นายหน้าหรือคนพาไปก็จะยิ่งคุยไม่รู้โดยเฉพาะเรื่องทางวิชาการแพทย์  ขนาดคนไข้ เวลามาหาหมอคนไทยก็จะต้องคุยกับตัวแทนที่มีความรู้และได้รับการฝึกมาจากแพทย์ เพื่อทำหน้าที่อธิบายแทน บางครั้งยังต้องสื่อสารกันพื่อให้แน่ใจว่าเข้าใจตรงกัน

 

ทริปศัลยกรรมเกาหลีนั้นไม่สามารถบอกได้เลยว่า คนไทยไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีเท่าไร เนื่องจากจะเป็นการเดินทางผ่านเอเย่นต์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเอเย่นต์ผิดกฎหมาย และจะไม่รับผิดชอบอะไรหากมีปัญหา แต่คนไทยที่คิดจะเดินทางไปทำศัลยกรรมกับแพทย์ในต่างประเทศนั้นควรทราบว่า เกาหลีเองมีกฎหมายคุ้มครองแพทย์ของตนเอง และการไปกับเอเจนซี่นั้นเมื่อมีปัญหาเอเจนซี่ก็จะไม่รับผิดชอบ อีกทั้ง แพทย์เกาหลี ก็จะไม่รับผิดชอบคนไข้ต่างชาติที่เดินทางไปทำศัลยกรรมด้วย แล้วในการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำศัลยกรรมกับเอเจนซี่ก็จะต้องรีบทำ รีบกลับ เพื่อไม่ต้องเดินทางบ่อย เพราะเสียค่าใช้จ่ายทั้งนั้น นี่จึงทำให้คนไข้ไม่มีโอกาสมีปัญหาอักเสบหรือติดเชื้อในภายหลัง 

 

นอกจากนี้ เพื่อให้การทำศัลยกรรมคุ้มกับการเดินทางก็จะมีการทำศัลยกรรมหลายรายการ การที่คนไข้คิดทำศัลยกรรมทุกอย่างในคราวเดียว มิฉะนั้นจะเสียเงินค่าเดินทางอีก ในทางปฏิบัติบอกเลยลำบาก การทำ 'ศัลยกรรมตบแต่ง' ก็มีความหมายในตัวอยู่แล้ว 'ค่อยๆ ตบ ค่อยๆ แต่ง' กันไป ฉะนั้น การจะไปทำอะไรหลายๆ อย่างในคราวเดียวจึงไม่ใช่

ที่สำคัญ แค่คิดว่าจะไปก็ผิดแล้ว แล้วการดมยาสลบนานๆ ก็ไม่ควรอีก เนื่องจากการทำศัลยกรรมหลายรายการก็จะต้องให้คนไข้ดมยาสลบมากเกินจำเป็น ซึ่งส่งผลต่อเนื่องหลายประการ เช่น เลือดจะตกตะกอนเป็นลิ่มเลือด หรือไม่ก็จะตื่นยาก เพราะต้องนอนนานๆ ถึง 8 ชม. จะตื่นข้ามไปอีกวัน อีก 6 ชั่วโมง ซึ่งวิสัญญีแพทย์ก็ต้องรับผิดชอบข้ามวัน หรืออาจจะมีโรคแทรกซ้อนตามมา ฯลฯ ซึ่งวิธีดมยาสลบนี้ก็ไม่ค่อยจะทำแล้ว และหมอด้วยกันก็จะพยายามหลีกเลี่ยง เพราะรู้ว่า ใช้วิธีอื่นๆ ได้และดีกว่าการดมยาสลบ เช่นใช้ยากล่อมประสาทผสมยาชา, ฉีดยาให้หลับ เป็นต้น เพื่อให้หลังผ่าตัดเสร็จแล้วลุกกลับบ้านได้เลย

เนื่องจากการใช้ยาสลบแล้วนอนหลับยาวอีก 6-8 ชั่วโมง นอนตื่นมา หน้าบวมไปกัใหญ่ถึงมีปัญหากันตลอด แล้วใครจะรับผิดชอบระหว่าง 'นายหน้า' กับ 'คนพาไป' นอกจากนี้ หมอเกาหลีก็มีกฎหมายคุ้มครองแพทย์ของตนเอง และไม่คุ้มครองกับคนไข้ต่างชาติที่บินไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีไม่มีการคุ้มครอง ฉะนั้น ก่อนไปต้องศึกษาให้ดี อย่าตกเป็นเหยื่อการทำการตลาดหรือการประชาสัมพันธ์โดยไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้"

           

จริยธรรม

"จะเห็นได้ว่า ในภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังย่ำแย่ แต่ก็มีธุรกิจคลินิกความงามเติบโตขึ้นมามากมาย จากเดิมที่มีไม่ถึง 100 คลินิก ปัจจุบันเปิดทั่วประเทศถึงหลักพันแห่งแล้ว เนื่องจากสภาพตลาดที่มีความต้องการมากจนผู้ให้บริการรับไม่ไหว นี่จึงทำให้ผู้ที่มีเงินลงทุน แต่ไม่ใช่แพทย์เห็นโอกาสของการเติบโตทางธุรกิจ สนใจเข้ามาลงทุนทำให้โครงสร้างการดำเนินธุรกิจกลายเป็นมี ทั้งแพทย์ดำเนินการเองกับนายทุนมาดำเนินการ แล้วจ้างแพทย์มาทำหัตถการ

อย่างไรก็ตาม ก็มีปัญหาของวงการเพิ่มมาด้วย นั่นคือ แพทย์ที่เรียนมาทางด้านนี้ก็มีจำนวนไม่พอกับความต้องการ เนื่องจากสาขานี้เมื่อ 50 ปีก่อนไม่มีคนสนใจเรียน ดังนั้น แพทยสภาก็อยากเปิดโอกาสให้แพทย์ที่จบใหม่ได้มีโอกาสฝึกฝนการทำตา จมูก ผิว ฯลฯ ในส่วนนี้จึงเป็นการเปิดช่องไว้ และทำให้เราได้เห็นหมอบางคนที่ไม่ได้เรียนอะไรมา แต่จบมาก็ทำเลยในสถานประกอบการบางแห่ง ซึ่งเป็นปัญหาทางด้านจริยธรรมและเป็นความเสี่ยงของคนไข้ ซึ่งทางด้านจรรยาแพทย์นั้น แพทย์จะต้องเห็นคนไข้เป็นมนุษย์ ต้องพูดความจริงให้ฟัง ต้องมีความแม่นยำ ต้องยึดหลักวิชาการ และไม่คุยโม้โอ้อวด

 

ฉะนั้น ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่า แพทย์ที่มีความชำนาญแล้วจึงไม่อยากเข้าไปยุ่งกับธุรกิจในส่วนนี้ แต่น้องๆ นักเรียนแพทย์ หรือแพทย์จบใหม่ๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์มากนักเมื่อมีนายทุนมาจ้างก็ตัดสินใจไปทำงาน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในช่วงหนึ่งที่จะเห็นสถิติคนไข้ที่ทำศัลยกรรมแล้วมีปัญหาเป็นจำนวนไม่น้อย และเป็นจำนวนที่มีนัยสำคัญด้วย

จะเรียกว่า 'อุบัตเหตุ' ก็คงไม่ใช่ แต่ผมว่า น่าจะเป็น 'อุบัติการ' มากกว่า"

 

เตรียมตัวก่อน

ข้อปฏิบัติก่อนทำศัลยกรรมที่คนไข้ทุกคนต้องทราบเบื้องต้น นอกจากการศึกษาหาข้อมูลให้แม่นยำ นั่นก็คือ คนไข้ต้องมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีประวัติหรือกำลังป่วยเป็นโรค 3 กลุ่มโรคเสี่ยง ได้แก่ โรคหัวใจ โรคความดัน และโรคเบาหวาน กลุ่มโรคเลือด เช่น โรคเลือดไหลไม่หยุดและกลุ่มโรคติดเชื้อ เช่น โรคไข้หวัด โรคไซนัส เป็นต้น หากป่วยต้องรักษาโรคให้หายก่อนจึงจะสามารถทำศัลยกรรมได้ โดยเฉพาะโรคหัวใจที่อาจส่งผลถึงชีวิตได้

นอกจากนี้ คนไข้ต้องเลือกรับบริการศัลยกรรมความกับสถานที่พยาบาลที่ถูกกฎหมาย แพทย์ต้องเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่ใช่หมอเถื่อนหรือหมอกระเป๋า และสิ่งสำคัญคือคุณภาพของแพทย์ โดยดูจากผลงานและประสบการณ์ของหมอที่ผ่านมา อาจถามจากหมอโดยตรงหรือสอบถามผู้รู้ต่างๆ ไม่ใช่ดูจากโฆษณาหรือราคาเพียงอย่างเดียว

 


บทความจากนิตยสาร มาร์เก็ตพลัส ฉบับที่ 134 พฤษภาคม 2564 

[อ่าน 6,195]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คุยกับ 2 ผู้บริหารแห่ง “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” กับการรุกขยายพอร์ตฯ พร้อมเปิด 8 แบรนด์ใหม่
สรุปความสำเร็จของ ‘แมคโดนัลด์’ ผ่านมุมมองของ ‘คุณกิตติวรรณ อนุเวชสกุล’
ทำความรู้จัก “ปิ่นเพชร โกลบอล” ผู้อยู่เบื้องหลัง “ฮากุ” แบรนด์ทิชชู่เปียกของคนไทย
ดิษทัต ปันยารชุน วางรากฐาน OR เตรียมส่งไม้ต่อให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
วีรพล สวรรค์พิทักษ์ ยุทธศาสตร์ Eminent Air สู่ทศวรรษที่ 5
บทพิสูจน์ MAZDA เพื่อก้าวสู่ การเติบโตที่ยั่งยืน
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved