การฉีดสารเติมเต็มไม่ว่าจะเป็นฟิลเลอร์ HA หรือโบท็อกซ์ ดูจะตอบโจทย์คนยุค Now Normal ที่ต้องการความด่วน ความละเมียดของงานศัลยกรรมความงาม แต่ด้วยสงครามราคาที่เสนอแพ็กเกจกันด้วยราคาที่ชนกันชนิด 'หัวแตก' กลับก่อปัญหาคนยุคนี้ไม่น้อยเช่นกัน
นี่จึงเป็นการฉายภาพบางส่วนของตลาดธุรกิจความงาม ความต้องการของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค โดย นพ.พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ ผู้อำนวยการ AIC Clinic และ CMT (Country Mentor Trainer) หรือแพทย์วิทยากร และผู้สอนแพทย์ฉีดฟิลเลอร์ในระดับนานาชาติ เป็นผู้ริเริ่มใช้เข็มปลายทู่ในการฉีดฟิลเลอร์ของเมืองไทยและเป็นผู้ริเริ่มการฉีดฟิลเลอร์สัมผัสกระดูก นอกจากนี้ ยังเป็นผู้เขียนหนังสือ 'รู้ทันก่อนทำสวย' ปี 2558 และ 'มหัศจรรย์ร้อยไหมฟิลเลอร์' (ปี 2557) และปลายปีนี้จะเขียนตำราแพทย์เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อปรับรูปหน้า ให้กับสำนักพิมพ์สปริงเกอร์ (Springer Publishing) เผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ และขายในตลาดยุโรปและอเมริกา โดยสำนักพิมพ์ชื่อดังเกี่ยวกับตำราแพทย์
พฤติกรรมคนไข้ยุค Now Normal เป็นอย่างไร
คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาคลินิกจะมี 'ในใจ' อยู่แล้วว่าอยากทำอะไร เช่น อยากฉีดฟิลเลอร์ตรงนี้ อยากฉีดโบท็อกซ์ตรงโน้น แต่ประเด็นคือ อาจจะผิด เช่น บางคนหน้าใหญ่อยากจะฉีดโบท็อกซ์ให้หน้าเล็กลง ฉีดกราม เป็นต้น แต่เมื่อลองจับดูอาจจะพบว่าไม่ใช่กราม แต่กลายเป็นเนื้อแก้ม และลักษณะกระดูกเล็ก จึงทำให้เนื้อปลิ้นทะลักออกมา ดังนั้น การฉีดโบท็อกซ์ก็จะไม่ช่วยเลย คนไข้ก็จะกลับมาโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือการฉีดลดไขมันที่แก้ม ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มคนอายุน้อยก็จะได้ผลน้อยเหมือนกัน ในกรณีนี้จะต้องแก้ไขที่การปรับโครงหน้า
คำว่า 'โครงหน้า' คือ โครงกระดูกของใบหน้า ซึ่งเป็นเสาเข็มของใบหน้า คนเราจะมีหน้าอ้วน หน้าสั้น หน้ายาวอยู่ที่โครงกระดูก บางคนอยากฉีดให้คางยาวขึ้น แต่จริงแล้ว คางยาวกว่าริมฝีปาก ถ้าฉีดที่คางก็จะทำให้สัดส่วนของใบหน้าผิดรูปไปอีก ดังนั้น สิ่งที่ถูกต้อง คือ คนไข้ต้องให้หมอประเมินและหาข้อสรุปร่วมกัน
แบบถือภาพว่า อยากสวย/หล่อแบบคนนี้ยังมีหรือไม่
ยังมี (เสียงสูง) ที่เยอะ คืออยากฉีดปากให้เป็นแบบนี้ เรื่องแบบนี้ ยังมีคนเข้าใจผิดอยู่มาก เพราะกรอบหน้า หรือรูปหน้าเราไม่เหมือนกัน
เรายังต้อง Educate ผู้บริโภคกันอีกมากน้อยแค่ไหนสำหรับตลาดนี้
ในช่วงสิบปีมานี้ เราให้ความรู้กับคนไข้และตลาดมาโดยตลอดว่า ควรทำ หรือไม่ทำอะไร แต่ประเด็นก็คือ สังคมไม่ชอบการเรียนรู้และเชื่ออะไรง่ายๆ แต่อะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อ และเชื่อ Fake News ยกตัวอย่างเช่น ภาพ Before VS After เราเห็นก็รู้ได้เลยว่า นี่คือภาพตัดต่อ รีทัชมาแล้ว หรือง่ายๆ ก็แค่ปรับให้แสงสว่างขึ้นก็จะทำให้ดวงตาที่ดูอิดโรย ร่องที่ดูคล้ำก็ดูดีขึ้นแล้ว สังเกตได้ว่า ภาพ Before จะมืดๆ ดูโทรม หน้าไม่ยิ้ม ไม่แต่งหน้า แต่ภาพ After แสงจะสว่างจ้าและให้แต่งหน้าด้วย หน้ายิ้ม นี่ก็ 'ไม่ใช่' แล้ว หรือ 'ก้มหน้า' กับ 'เงยหน้า' นิดเดียว รูปหน้าเปลี่ยนแล้ว
การให้ความรู้ด้วยการออกพ็อกเก็ตบุ๊คอย่างที่เคยทำมานั้นไม่ได้ผล เพราะคนไทยไม่ชอบอ่าน วิธีนี้ได้ผลกับคนกลุ่มเดียวที่อยากได้ความรู้เชิงลึกจริงๆ ทั้งที่ตอนนั้นเราตั้งใจให้ความรู้คนก่อนที่จะไปทำสวย ปัญหาคือคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจอะไร นอกจากบอกกับหมอว่า ทำๆ ไปเถอะ และอีกเป็นจำนวนมากที่ถามเพื่อน แทนที่จะศึกษาเอง
ที่มาของการเขียนพ็อกเก็ตบุ๊คในช่วงนั้น เพราะมีโอกาสได้เดินทางไปเกาหลีบ่อย และเป็นช่วงแรกๆ ที่เกาหลีเริ่มบูมเรื่องความงาม แต่คนไทยก็มีเริ่มๆ ไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีกันบ้าง แต่ไม่มากอย่างตอนหลังๆ ตอนนั้น เนื่องจากผมได้เป็นผู้อำนวยการต่างประเทศเขตเอเชียแปซิฟิก สมาคมแพทย์เกาหลีด้านความงามและศัลยกรรมความงาม ( ปี 2012 -ปี 2013) และเป็นผู้อำนวยการแพทย์นานาชาติ สมาคมแพทย์เกาหลีศัลยกรรมและเลเซอร์ (เม.ย.2013 - มี.ค.2014) ช่วงนั้นเราพบว่ามีความรู้ใหม่ๆ ที่คนไทยยังไม่รู้ก็เลยเขียนเรื่อง มหัศจรรย์ร้อยไหมฟิลเลอร์ ขึ้นมา และเป็นหนังสือที่ทำให้หมอในวงการรู้จักผมมากขึ้นและตามอ่านกัน ส่วนอีกเล่ม 'ตั้งหลักก่อนทำสวย' เนื่องจากกระแสเกาหลีแรงขึ้นมีทั้งพวกที่บินไปทำที่เกาหลี บางคนก็ทำในประเทศไทย แล้วก็มีปัญหาไม่ว่าจะทั้งจากที่ทำจากไทยหรือเกาหลี ผมจึงออกหนังสือเล่มนี้เพื่อเตือนให้ศึกษาไว้ก่อน
ถ้า 'พัง' มี After Sales Service หรือไม่ เราจะแก้ปัญหาอย่างไรได้บ้างหรือไม่
เนื่องจากการไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีมักจะเป็นการผ่าตัดใหญ่ และนำทริปโดยเอเจนซี่ที่ต้องการปิดยอดให้ได้มากที่สุด ทั้งที่บางอย่างไม่ควรทำกับคนๆ นั้น แต่ก็มีการทำ ตัวอย่างเช่น คนไข้ต้องการทำแค่จมูก แต่แนะนำให้ทำใต้ตาและดึงคิ้วเพิ่ม ทั้งคนไข้อายุแค่ 30 ไม่มีปัญหานัยน์ตาตก สุดท้ายทำมาก็ไม่ดีขึ้นกว่าเดิม และมีตัวอย่างอีกมาก
กรณี 'พัง' ไม่มี After Sales Service แน่นอน เราจะไปฟ้องร้องกับใคร เอเจนซี่ไม่สนใจอยู่แล้ว เอเจนซี่รับเงินก็ไปแล้ว เกาหลีก็ไม่รับผิดชอบ คอมมิชชั่นที่นายหน้าต่อหัวนั้นสูงถึง 40 - 50% ทีเดียว ส่วนการเดินทางต่อคนก็หลายแสน ถ้าทำจมูก ตาและอีกหลายอย่างก็ 5 แสนถึงหลักล้านบาท นี่คือเหตุผลที่ทำไมพวกนายหน้าจึงพยายามที่จะปิดราคาคนไข้ต่อหัวให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ พอไปถึงเกาหลีแล้วยังจะมี Up-Sell ให้เสียเงินต่ออีก พอมีปัญหาก็ 'เท' ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ธุรกิจตรงนี้ทำเงินได้มาก จะเห็นได้ว่ามีดาราหลายคนเข้ามาในธุรกิจนี้
แต่คนวงในจะรู้กันดีว่า หมอที่เก่งจริงๆ เช่น ทำจมูกเก่ง คิวจะยาวมากแค่คนเกาหลีด้วยกันก็ทำไม่ทันแล้ว ส่วนหมออีกเกรดที่ไม่มีงาน ไม่เก่งจะมารับพวกทัวร์ เพราะถ้า 'พัง' ก็กลับประเทศไปแล้วเอาเรื่องไม่ได้ งานที่ผ่านเอเจนซี่ต้องเข้าใจว่าคือ 'งานโหล' ทำให้เสร็จๆ จบเร็วๆ ไม่ใช่งานประณีต เพราะถ้าต้องการความประณีต มันต้องใช้เวลาก็จะใช้เอเจนซี่ไม่ได้ ผมว่าเรื่องพวกนี้คนไทยน่าจะมีบทเรียนและหาข้อมูลก่อนเข้าผ่าตัดหรือทำศัลยกรรมให้มากขึ้น ถ้าอยากใช้บริการไม่จำเป็นต้องผ่านเซลส์ สถานประกอบการเหล่านี้ก็มีเซลส์อยู่แล้ว หรือจะคุยผ่านอีเมล หรือ KakaoTalk (กาเกา ทอล์ค) แอปพลิเคชันแชตของเกาหลีก็ได้ ที่สำคัญ ราคาถูกกว่าด้วย อย่างน้อยก็ถูกกว่าเป็นครึ่งหนึ่ง
ดูเหมือน วงการนี้จะมีปัญหาเรื่อง 'จริยธรรม' กันมากใช่หรือไม่
ถูกต้อง โดยเฉพาะการใช้คำว่า 'อาจารย์หมอ' ... 'อาจารย์แพทย์' มาหากิน ซึ่งบอกเลยว่า 'ผิด'
นี่คือเรื่องจริยธรรม...พูดไม่ได้ และมีสองประเด็น คือ 1) คุณกำลังโกหก คุณไปสอนนักเรียนแพทย์ หรือแพทย์ที่ไหนมาจึงจะให้คนอื่นเรียกคุณว่า 'อาจารย์แพทย์' 2) คำว่า 'อาจารย์แพทย์' ใช้ได้เฉพาะเวลาที่อยู่ในโรงเรียนแพทย์ เช่น จุฬา รามา ศิริราช ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมา แพทยสภาเคยมีกรณีการกล่าวโทษแพทย์ในอดีตที่ใช้คำนี้อย่างไม่ถูกต้องมาแล้ว ในอนาคตคิดว่าจะมีการตรวจสอบและกำกับดูแลกันมากขึ้นจาก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะดูแลเรื่องการโฆษณา และแพทยสภา ซึ่งจะดูแลเรื่องจริยธรรม
คนไทยมีปัญหาใบหน้าตรงไหนที่สุด
นิยามความงามจริงๆ เป็นเรื่องสากลที่มี 3 องค์ประกอบสำคัญ นั่นคือ 'สัดส่วน / มุม-องศา / ส่วนโค้ง-เว้าของใบหน้า' ที่ลงตัว สำหรับคนไทยปัญหาที่พบบ่อย คือ ส่วนล่างมักสั้นกว่าส่วนอื่น เริ่มจาก 'สัดส่วน' ก่อน ใบหน้าคนเราประกอบไปด้วยสัดส่วนแนวนอน 3 ส่วน คือ ไรผมถึงหว่างคิ้ว, หว่างคิ้วถึงฐานจมูก และฐานจมูกถึงปลายคาง ถ้าใครมี 3 ส่วนนี้เท่าๆ กันแสดงว่ามีใบหน้าที่สมดุลสวยงาม อีกแนวคือ สัดส่วนแนวตั้ง 5 ส่วน คือ 1) ตั้งแต่แนวด้านข้างใบหน้า (แนบหูหรือหน้าหู) จนถึงหางตา 2) ตั้งแต่หางตาถึงหัวตา 3) หัวตาถึงหัวตาอีกฝั่งหนึ่ง 4) หัวตาถึงหางตา 5) หางตาถึงแนวด้านข้างใบหน้า ถ้าใครมีใบหน้าในแนวตั้ง 5 ส่วนเท่าๆ กันแสดงว่ามีใบหน้าที่สมดุล สวยงามเช่นกัน
การวัดสัดส่วนอีกแบบหนึ่ง เรียกว่า ‘สัดส่วนทองคำ’ (Golden Ratio) มีค่าเท่ากับ 1.618 เป็นอะไรที่ซับซ้อนขึ้น คือ การเอาส่วนยาวมาหารด้วยส่วนกว้าง เช่น เอาความยาวจากศีรษะถึงคางในแนวตั้งหารด้วยความกว้างที่สุด ในแนวนอนของหน้าถ้าได้ผลลัพธ์ใกล้เคียง 1.618 แสดงว่าคนนั้นมีใบหน้าที่สวยได้รูป ซึ่งทฤษฎีนี้บอกว่า วัตถุสิ่งของหรืออวัยวะอะไรก็ตามที่มีสัดส่วนนี้จะทำให้ดูแล้วสวยนั่นเอง เช่น ถ้าอยากทราบว่า ดวงตาสวยหรือไม่ก็ใช้วิธีวัดความกว้างตั้งแต่หัวตาถึงหางตาหารด้วยความกว้างของขอบตาบนถึงขอบตาล่าง และถ้าได้ตัวเลขใกล้เคียงกับ 1.618 แสดงว่าดวงตาสวยพอดี ไม่ตาตี่หรือกลมมากเกินไป
ส่วน 'มุม-องศา' หลักๆ ที่เราวัด ได้แก่ มุมดั้งจมูกคือระหว่างดั้งจมูกและหน้าผาก จุดวัดคือจุดต่ำสุดของดั้งแล้ววัดขึ้นไปที่หน้าผากต้องได้มุม 115 -135 องศา ดังนั้น ถ้าใครไปทำจมูกมาและปรากฏว่า ดั้งจมูกช่วงระหว่างหัวตาสูงโด่งเป็นสันไปชนกับหน้าผากแสดงว่า มุมสันดั้งจมูกและหน้าผากเกิน 135 องศาแน่นอน บางรายเกินไปถึง 180 องศาก็มี แทนที่จะดูสวยกลับดูตลกแทน อีกมุมคือมุมฐานจมูกและริมฝีปากบนซึ่งผู้หญิงกับผู้ชายจะแตกต่างกัน ถ้าเป็นผู้ชายจะอยู่ประมาณ 90-95 องศา ส่วนผู้หญิงฐานจมูกต้องเชิดขึ้นเล็กน้อยประมาณ 95-110 องศา
สุดท้ายวัดที่ 'ส่วนโค้ง-เว้าของใบหน้า' ซึ่งวิธีนี้ทำยากและซับซ้อนจึงไม่ค่อยนิยมที่ให้เข้าใจง่าย คือ ใบหน้าคนเราต้องมีส่วนโค้งส่วนเว้า คือ มีรูปตัว S เล็กๆ ต่อกันบนใบหน้า เช่น ใต้ตา บางคนไม่อยากมีใต้ตาโบ๋หรือไม่อยากให้มีร่องใต้ตาเลย อยากเติมไขมัน อยากผ่าตัด หรือฉีดฟิลเลอร์ให้เต็ม หากทำให้เรียบเลยแน่นอนว่า จะดูไม่สวย เพราะใต้ตาที่สวยของคนเราต้องมีร่องเล็กน้อย ให้เกิดเป็นส่วนโค้งส่วนเว้า นอกจากนี้ ส่วนโค้งส่วนเว้านี้ก็ยังรวมถึงโหนกแก้ม และ ริมฝีปากด้วย
ในฐานะที่เป็นผู้ริเริ่มการใช้ฉีดฟิลเลอร์ด้วยเข็มปลายทู่ และการฉีดสัมผัสกระดูก คิดว่า การฉีดสารเติมเต็มเหล่านี้จะตอบโจทย์คนยุคนี้หรือไม่
ในอดีตไม่นิยมใช้ฟิลเลอร์ HA ในการเติมปริมาตร (Volume) ในส่วนที่ขาดของใบหน้า เนื่องจากพบว่า ฟิลเลอร์ HA สลายตัวเร็ว คือ ไม่ถึงปีก็สลายหมด ทำให้นิยมไปฉีดไขมัน หรือหากมีการยุบตัวของกระดูกจากอุบัติเหตุ เช่น หน้าผากบุบยุบก็นิยมทำเป็น Bone Graft หรือการตัดกระดูกจากส่วนอื่นมาแปะเสริมนั่นเอง ซึ่งทั้งการฉีดไขมัน และ การทำ Bone Graft นั้นจะบาดเจ็บมาก และต้องพักฟื้นนาน นอกจากนี้ การฉีดไขมันก็คาดการณ์ได้ยาก เพราะอาจยุบตัวหมดภายใน 2-3 เดือน ทำให้ต้องฉีดซ้ำ หรืออาจยุบตัวไม่เท่ากัน ทำให้ผิวเกิดเป็นลูกคลื่น ไม่เรียบ
แต่เทคนิคใหม่ของการฉีดฟิลเลอร์ HA ลงบนกระดูกช่วยทำให้ผลการรักษาอยู่ได้นานขึ้น การฉีดอาจทำได้โดยการใช้ทั้งเข็มปลายทู่และเข็มคม โดยช่วยปรับเปลี่ยนรูปโครงหน้าให้ดูดีขึ้นและช่วยยกกระชับใบหน้า ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดได้ ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า และไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งเทคนิคนี้แตกต่างจากการปรับรูปหน้าโดยการทำ V Shape ด้วยการใช้โบท็อกซ์ฉีดลดกราม หรือการฉีดสลายไขมันที่แก้ม หรือแม้แต่การร้อยไหมที่แก้มก็ตาม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแค่การลดแก้มและลดกรามในส่วนที่เป็นเนื้ออ่อนเท่านั้น แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนโครงกระดูกซึ่งเป็นตัวยึด และค้ำยันข้างใต้ ดังนั้น ผลการรักษาจะอยู่ไม่นาน และดูไม่เป็นธรรมชาติ เพราะแม้จะดูหน้าเรียวเล็กลง แต่สัดส่วนใบหน้าจะเสียสมดุล ทำให้ไม่ได้ดูดีขึ้น ไม่ได้ดูอ่อนวัยอย่างแท้จริง แถมบางรายแก้มห้อยหย่อนลง หลังจากฉีดลดแก้ม-ลดกรามก็มี
ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปโครงกระดูกจึงเป็นการรักษาที่ตรงจุดที่สาเหตุ แต่ข้อจำกัดของวิธีนี้คือ ต้องใช้ยาฟิลเลอร์จำนวนมากทำให้สิ้นเปลือง และต้องกระทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะการฉีดลงลึกก็มีโอกาสแทงถูกเส้นเลือดใหญ่ได้มากขึ้นจึงต้องเป็นแพทย์ที่สามารถฉีดด้วยทั้งเข็มปลายทู่ และเข็มคมอย่างชำนาญเท่านั้น
โปรโมชั่นฉีดฟิลเลอร์ถูกๆ เยอะแยะ เชื่อถือได้หรือไม่
โปรโมชั่นมากจริงๆ แต่อยากให้ผู้บริโภคพิจารณาดีๆ มากกว่า เพราะในเซ็กเมนต์ที่เป็นตลาดล่างก็จะแข่งกันด้วยราคา แต่เซ็กเมนต์ของตลาดบนก็จะไม่ลงสนามราคาด้วย
สำหรับของที่นี่เราไม่ได้ลงเล่นสงครามราคาด้วย เนื่องจากเราใช้ฟิลเลอร์ Restylane ที่เป็นฟิลเลอร์ HA ที่ดีและเป็นแบรนด์ที่คนไข้สามารถสแกนคิวอาร์โค้ดเช็กได้ว่า เป็นฟิลเลอร์ที่นำเข้าถูกต้องโดยบริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัดหรือไม่จาก eZTracker แอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน และทางคลินิก สิ่งที่เราทำคือแค่การทำ CRM เดิมและให้สิทธิประโยชน์ (Privilege) อื่นๆ มากกว่า
เหมือนธุรกิจนี้เป็น 'แดนสนธยา' มีข้อแนะนำให้กับผู้บริโภคหรือไม่
ถ้าจะเรียกว่า 'แดนสนธยา' ก็ได้ แต่ก็มีคนวงในเท่านั้นที่รู้ คำแนะนำที่อยากจะเตือนผู้บริโภคก็คือ หลักการเลือกใช้บริการจะใช้ที่ไหนดีให้ดูที่ 1) 'ตัวแพทย์' เป็นหลัก ถ้าจะใช้บริการโดยที่ไม่ทราบว่า เราจะรับบริการจากแพทย์คนใด อย่างนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะผลลัพธ์จะดีหรือไม่ดีมาจากตัวแพทย์เอง 2) 'คุณภาพของผลิตภัณฑ์' ที่ใช้ว่ามีคุณภาพอย่างไร 3) 'ชื่อเสียงของสถานประกอบการ' ว่าเปิดมานานหรือยัง มีชื่อเสียงที่ไม่ดีมาก่อนหรือไม่ เคยมีปัญหาอะไรหรือไม่ 4) เจ้าของคลินิก ถ้าเจ้าของคลินิกเป็นแพทย์ที่ทำหัตถการเองก็จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า ธุรกิจที่มีนักลงทุนมาเปิดแล้วจ้างหมอ 'มือปืน' มาทำงาน เพราะถ้าเป็น 'มือปืน' หมอจะหายตัวเลย หรือไปหาหมอ แต่เจอแค่เซลส์ ไม่เคยเจอหมอ พอถึงตอนผ่าตัดก็ถูกวางยาสลบอีก ไม่รู้ว่า ใครผ่าตัด อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง